เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "การขึ้นภาษีรถยนต์และชิ้นส่วนของสหรัฐฯ โดยเฉพาะมาตรา 232 กระทบส่งออกชิ้นส่วนไทยค่อนข้างมาก"


 สหรัฐฯ กำลังใช้มาตรการภาษีนำเข้าหลากรูปแบบ ทั้งภาษีนำเข้า 25% ภายใต้มาตรา 232 และภาษีศุลกากรตอบแทน (Reciprocal Tariff) เพื่อดึงการลงทุนกลับประเทศ  โดยมีรถยนต์และชิ้นส่วนเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายหลัก
 
• การส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ไทยอาจโดนกระทบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะจากมาตรา 232 นำโดยกลุ่มชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน และชิ้นสวนไฟฟ้า&อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งแม้จะมีมาตรการคืนเงินชดเชยภาษีตามออกมาแต่ก็ช่วยได้ไม่มาก 
 
สหรัฐฯ ทยอยขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนกระทบการส่งออกไทย 
 
สหรัฐฯ นับเป็นประเทศผู้นำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนอันดับ 1 ของโลก ด้วยสัดส่วนการนำเข้ารวมสูงถึง 20% ของมูลค่าการนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนรวมกันทุกประเทศทั่วโลก เพราะแม้จะมียอดขายรถยนต์ในประเทศที่สูงถึงมากกว่า 16 ล้านคัน (อันดับ 2 ของโลก) แต่กลับผลิตรถยนต์ในประเทศเฉลี่ยเพียงปีละ 10 ล้านคัน ซึ่งน้อยกว่าความต้องการในประเทศมาก
 
เพื่อดึงดูดการลงทุนกลับเข้าประเทศ ประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ จึงประกาศขึ้นภาษีนำเข้าที่เกี่ยวกับรถยนต์และชิ้นส่วนอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขึ้นภาษี 25% กับรถยนต์และชิ้นส่วนผ่านมาตรา 232 ของพระราชบัญญัติการขยายการค้า พ.ศ. 2505 และขึ้น Reciprocal Tariff กับชิ้นส่วนรถยนต์ที่อยู่นอกรายการที่โดนเรียกเก็บภาษีแล้วในมาตรา 232 ซึ่งแม้จะมีมาตรการผ่อนปรนต่าง ๆ ออกมาในภายหลังบ้าง แต่ก็ช่วยลดผลกระทบได้เพียงบางส่วน
 
สำหรับไทย การขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ย่อมกระทบกับรถยนต์และชิ้นส่วนที่ส่งออกไปสหรัฐฯอย่างไม่อาจเลี่ยง โดยในปี 2567 มีมูลค่ารวม 6,426  ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 14% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไทยไปทั่วโลก และคิดเป็นสัดส่วน 1.2% ของ GDP ไทย ในปี 2567 
 
ทั้งนี้ ระดับของผลกระทบที่การส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไทยจะได้รับนั้น แตกต่างกันไปตามระดับการพึ่งพิงของสินค้านั้นกับตลาดสหรัฐฯ และมาตรการภาษีที่โดน (รูปที่ 1)
 
 
   
 
ภาษี 25% จากมาตรา 232 ปัจจัยหลักกระทบส่งออกโดยเฉพาะชิ้นส่วน
 
สำหรับรถยนต์และชิ้นส่วนไทยที่ส่งออกไปสหรัฐฯ พบว่าเกือบทั้งหมดถูกสหรัฐฯเรียกเก็บภาษีนำเข้า 25% ภายใต้มาตรา 232 อย่างไรก็ดี ผลกระทบของการขึ้นภาษีนำเข้าต่อรถยนต์และชิ้นส่วนนั้นแตกต่างกัน โดย
 
รถยนต์ (เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 3 เมษายน 2568 ) : คาดไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า 25% เนื่องจากสหรัฐฯ ไม่ได้เป็นตลาดหลักของไทย และรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่เคยนำเข้าไปจำหน่ายเดิมในสหรัฐฯ (36,000 คันในปี 2567) นั้น มีแผนยุติจำหน่ายในสหรัฐฯ อยู่แล้วในปีนี้ ดังนั้น การลดลงของปริมาณการส่งออกจึงไม่ได้เป็นผลโดยตรงจากการขึ้นภาษีนำเข้า อย่างไรก็ดี สำหรับการส่งออกรถยนต์ไปสหรัฐฯในอนาคตอาจทำได้ยากมากขึ้นจากต้นทุนภาษีที่สูงขึ้น 
 
ชิ้นส่วนรถยนต์ (เริ่มใช้ตั้งแต่ 3 พฤษภาคม 2568 กับชิ้นส่วนรถยนต์ตาม HS Code ที่สหรัฐฯกำหนด 130 รายการ ) : คาดได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก เนื่องจากสหรัฐฯเป็นตลาดส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์อันดับ 1 ของไทย ด้วยส่วนแบ่งตลาด 26% (รูปที่ 2)
 
 
อย่างไรก็ดี หากแยกพิจารณาแบ่งตามระดับผลกระทบที่กลุ่มชิ้นส่วนรถยนต์ได้รับซึ่งแตกต่างกัน อาจแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
 
1. ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดโดนกระทบมาก : ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง 
 
• ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง โดยเฉพาะ กระปุกเกียร์ และเพลาขับที่มีหม้อเพลา 
• ชิ้นส่วนระบบกันสะเทือน โดยเฉพาะ ล้อและส่วนประกอบล้อ และพวงมาลัย 
• ชิ้นส่วนไฟฟ้า&อิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ อุปกรณ์ส่องสว่าง และหัวเทียน
 
2. ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดโดนกระทบปานกลาง : ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนไม่สูง
 
• ชิ้นส่วนตัวถังและอุปกรณ์ภายใน โดยเฉพาะอุปกรณ์ตกแต่ง และถุงลมนิรภัย
 
3. ชิ้นส่วนรถยนต์ที่คาดโดนกระทบน้อย : ต้นทุนพอแข่งขันได้ หรือส่งออกไปสหรัฐฯ น้อย
 
• ยางรถยนต์ โดยเฉพาะ ยางรถยนต์นั่งและปิกอัพ ขณะที่ยางรถปัสและรถบรรทุกยังต้องระวังเพราะไทยโดนขึ้นภาษี AD ขณะที่คู่แข่งไม่โดน 
 
• เครื่องยนต์ ซึ่งไทยส่งออกไปสหรัฐฯน้อยมาก และยังมีตลาดส่งออกอื่น เช่น อาเซียน แอฟริกาใต้ และไต้หวัน เป็นต้น

มาตรการคืนเงินชดเชยภาษีล่าสุดของสหรัฐฯไม่ช่วยชิ้นส่วนไทยมากนัก 
 
แม้ 29 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ จะประกาศคืนเงินชดเชยภาษีนำเข้าเฉพาะสำหรับชิ้นส่วน OEM ที่นำเข้ามาใช้ประกอบรถยนต์ในประเทศ  เพื่อลดผลกระทบจากภาษีนำเข้า 25%ทว่าชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกจากไทยอาจได้อานิสงส์บางส่วนเท่านั้น จากสาเหตุหลัก 2 อย่าง คือ 
 
เงินชดเชยที่ค่ายรถได้รับมีจำกัด ทำให้ค่ายรถสามารถเลือกชิ้นส่วนรถยนต์ที่ได้เงินชดเชยคืนแค่บางรายการเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากปัจจุบันรถยนต์ที่ผลิตในสหรัฐฯส่วนใหญ่อาศัยการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์เข้าไปผลิตในสัดส่วนที่สูง โดยบางรุ่นอาจมีสัดส่วนชิ้นส่วนรถยนต์นำเข้าถึงมากกว่า 50% ของมูลค่าชิ้นส่วนรถยนต์ที่ใช้ทั้งหมด  
 
ชิ้นส่วนรถยนต์ส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯมากกว่าครึ่งเป็นชิ้นส่วนอะไหล่ (REM) ซึ่งกระจายอยู่ในทุกผลิตภัณฑ์ที่ไทยส่งออก โดยเฉพาะ ยางรถยนต์ ล้อและส่วนประกอบล้อ หัวเทียน และอุปกรณ์ส่องสว่าง เป็นต้น ซึ่งชิ้นส่วนอะไหล่จะไม่ได้รับเงินชดเชยดังกล่าว จึงต้องเจอกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากภาษี 25% เต็มจำนวน
 
จากทิศทางดังกล่าว คาดว่าหลังจากสิ้นสุดระยะเวลาผ่อนผัน 2 ปี ที่ได้เงินชดเชย การลงทุนเพิ่มของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในสหรัฐฯจะเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์บางรายการจากต่างประเทศลดลง ซึ่งคาดว่าจะเป็นกลุ่มที่มีมูลค่าเพิ่มสูงก่อน อย่างเครื่องยนต์ ชิ้นส่วนระบบส่งกำลัง ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น  

ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามต่อเนื่องอย่างใกล้ชิด 
 
• ทิศทางภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของไทยหลังครบกำหนดผ่อนผัน 90 วัน  ว่าจะลดลงจาก 36% หรือไม่ ซึ่งแม้มูลค่าส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์ในกลุ่มที่โดน Reciprocal Tariff จะมีไม่มากที่ราว 6% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนไปสหรัฐฯทั้งหมด แต่หากโดนภาษีสูงในอัตราดังกล่าว ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งมาก ย่อมกระทบต่อการส่งออกชิ้นส่วนรถยนต์กลุ่มนี้ของไทย เช่น ไส้กรองน้ำมัน ท่อเชื้อเพลิง หม้อพักท่อไอเสียและท่อไอเสีย เป็นต้น อย่างไม่อาจเลี่ยง   
 
• การส่งออกชิ้นส่วน OEM ไปต่างประเทศอาจลดลง โดยเฉพาะ ในกลุ่มประเทศที่ผลิตรถยนต์ส่งออกไปสหรัฐฯ ในสัดส่วนสูง เช่น เม็กซิโก และญี่ปุ่น เป็นต้น เนื่องจากปัจจุบันสหรัฐฯ กำลังพยายามลดการนำเข้ารถยนต์แล้วหันมาผลิตเองในประเทศเพิ่มขึ้น ผ่านการใช้มาตรการภาษีต่างๆ 
 
• การแข่งขันกันส่งออกรถยนต์และชิ้นส่วนในตลาดนอกสหรัฐฯ อาจทวีความรุนแรงขึ้น หลังการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดนำเข้ารถยนต์และชิ้นส่วนอันดับ 1 ของโลกนั้น ไม่ง่ายเหมือนในอดีต การหันมาลุยในสนามแข่งนอกตลาดสหรัฐฯจึงเป็นหนึ่งในทางเลือกเพื่อการอยู่รอดของธุรกิจ
 
• การย้ายฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์จากไทยบางส่วนของบริษัทข้ามชาติไปสหรัฐฯอาจทยอยเกิดขึ้น เนื่องจากต้นทุนภาษีนำเข้าของหสรัฐฯ ได้กลายมาเป็นต้นทุนหลักที่เพิ่มสูงขึ้นมาก โดยบริษัทข้ามชาติที่มีโอกาสย้ายฐานการผลิตบางส่วนไป จะเป็นบริษัทที่มีฐานผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อยู่แล้วในสหรัฐฯ และปัจจุบันมีมูลค่าส่งออกไปสหรัฐฯ สูง 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 พ.ค. 2568 เวลา : 15:38:17
17-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 17, 2025, 9:47 am