
(-) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส และเบรนท์ปรับลดลง หลังนักวิเคราะห์คาดการณ์ผลการประชุม OPEC+ ณ วันเสาร์ที่ 31 พ.ค. 68 ว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบเดือน ก.ค. 68 ที่อาจจะมากกว่าระดับ 0.411 ล้านบาร์เรลต่อวัน หลังก่อนหน้านี้ OPEC+ ได้เพิ่มกำลังการผลิดเดือน พ.ค. 68 และ มิ.ย. 68 ไปแล้วเดือนละ 0.411 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทำให้ภาพรวม OPEC+ คาดจะเพิ่มกำลังการผลิตทั้งหมดที่ระดับ 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน ทั้งนี้ JPMorgan คาดราคาน้ำมันดิบสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 55-60 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล
(-) ตลาดยังคงกังวลผลกระทบจากมาตรการโต้ตอบภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่แน่นอน หลังเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 29 พ.ค. 68 ที่ผ่านมาศาลอุทธรณ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ได้มีคำสั่งชั่วคราวให้ระงับคำตัดสินของศาลการค้า เพื่อเปิดทางให้มีการพิจารณาคำอุทธรณ์ของรัฐบาล ส่งผลให้มาตรการภาษีศุลกากรยังคงมีผลบังคับใช้ เนื่องจากเมื่อวันพุธที่ 28 พฤษภาคม 68 ที่ผ่านมาศาลการค้าสหรัฐฯ มีคำสั่งให้ระงับการใช้มาตรการภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ โดยระบุว่าเขาใช้อำนาจเกินขอบเขต
(+/-) อย่างไรก็ตาม Baker Hughes เผยจํานวนแท่นขุดเจาะนํ้ามันดิบสหรัฐฯ ประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 30 พ.ค. 68 ปรับลด 4 แท่นจากสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 461 แท่น ขณะที่แท่นขุดเจาะก๊าซธรรมชาติปรับเพิ่มขึ้น 1 แท่น จากสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ระดับ 99 แท่น ทั้งนี้จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันดิบที่ลดลงจะส่งผลให้อุปทานน้ำมันดิบตึงตัวมากขึ้นในอนาคตได้
ราคาน้ำมันเบนซิน
ราคาน้ำมันเบนซินปรับลดลงน้อยกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังปากีสถานนำเข้าน้ำมันเบนซินเพิ่มขึ้น 0.55 พันตัน เดือน มิ.ย. 68 ขณะที่สิงค์โปร์ส่งออกน้ำมันเบนซินสุทธิประจำสัปดาห์สิ้นสุด ณ วันที่ 28 พ.ค. 68 ลดลง 80.2% เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้า แตะระดับ 167 พันตัน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์คาดจีนส่งออกน้ำมันเบนซิน เดือน มิ.ย. 68 เพิ่มขึ้น
ราคาน้ำมันดีเซล
ราคาน้ำมันดีเซลปรับลดลงมากกว่าราคาน้ำมันดิบดูไบ หลังโรงกลั่นในจีน และญี่ปุ่นกลับมาดำเนินการผลิตหลังจากปิดปรับปรุงซ่อมบำรุงตามฤดูกาล อย่างไรก็ตาม สต็อคน้ำมันดีเซลสิงค์โปร์ประจำสัปดาห์ สิ้นสุด ณ วันที่ 28 พ.ค. 68 ปรับลดลง 3.58% จากสัปดาห์ก่อนหน้า อยู่ที่ระดับ 9.93 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นการปรับลดหลังจากที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ข่าวเด่น