
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จับมือ สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มอบรางวัล “Bai Po Business Awards by Sasin” ครั้งที่ 20 เพื่อเชิดชูเกียรติ 6 ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยต้นแบบที่สามารถสร้างความแตกต่างในธุรกิจ ฝ่าฟันวิกฤตด้วยพลังแห่งความคิดสร้างสรรค์ การบริหารจัดการอย่างมีวิสัยทัศน์ และแสดงถึงศักยภาพในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยอย่างยั่งยืน
โดย 1 ใน 6 ผู้ประกอบการไทย ที่ประสบความสำเร็จในการนำผลผลิตทางการเกษตรมาแปรรูปและส่งออกยังตลาดต่างประเทศเพื่อช่วยผลักดันเกษตรกรไทยด้วยจิตสำนึกที่มีต่อประเทศชาติ ซึ่งได้แก่ คุณสุวิมล สิระนาท กรรมการผู้จัดการ บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ที่ได้รับรางวัล องค์กรที่มีการบริหารจัดการด้านสินค้าและบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า (Customer-Focused Product and Service) องค์กรที่มีการสร้างสรรค์นวัตกรรม (Innovative Enterprise) และองค์กรที่มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainable Business Practice) ในครั้งนี้

สำหรับบริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด เป็นบริษัทผลิตขนมขบเคี้ยว ที่แปรรูปสินค้าเกษตรไทยเป็นผลิตภัณฑ์ขนมเพื่อสุขภาพ ทั้งในรูปแบบของการการรับจ้างผลิต (OEM) ให้กับแบรนด์ใหญ่หลาย ๆ แบรนด์ในไทย โดยให้บริการแบบครบวงจรตั้งแต่การวิจัย พัฒนานวัตกรรมการผลิตที่เน้นใช้กระบวนการอบ ปราศจากผงชูรส ปราศจากกลูเตน ไม่มีคอเลสเตอรอล เพื่อให้ได้สินค้าคุณภาพ ราคาย่อมเยาว์ พร้อมสร้างแบรนด์ควบคู่ไปด้วย ภายใต้ชื่อ “Grinny” และ “O puff” ที่มีสินค้าครอบคลุมความต้องการลูกค้ากลุ่มเป้าหมายตั้งแต่เด็กวัย 9 เดือน จนถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน ซึ่งมีทั้งวางขายในไทยและส่งออกกว่า 40 ประเทศทั่วโลกในปัจจุบัน ด้วยรูปแบบสินค้าจะเป็นขนมที่แปรรูปจากข้าวหอมมะลิ ข้าวโพด ธัญพืชต่าง ๆ รวมถึงวัตถุดิบเกษตรท้องถิ่นจากหลากหลายชุมชน หลากหลายจังหวัดในประเทศไทย โดยมีนโยบายประกันราคาผลผลิตให้แก่เกษตรกร เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการที่สินค้าเกษตรราคาตกต่ำจากผลผลิตที่ล้นตลาด ซึ่งปัจจุบันธุรกิจสามารถสร้างรายได้แล้วกว่า 300 ล้านบาท และเป็นการเติบโตเฉลี่ยแบบ Double-Digit ในทุก ๆ ปี
เส้นทางความสำเร็จของบริษัท
คุณสุวิมล เล่าถึงจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจขนมเพื่อสุขภาพว่า ตนเองนั้นได้รับทุนเล่าเรียนหลวงของในหลวงรัชกาลที่ 9 ในระดับปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ และปริญญาโท สาขาวิศวกรรมการเงิน จากมหาวิทยาลัย Stanford ซึ่งเป็นทุนการศึกษาแบบให้เปล่า ไม่ต้องใช้คืน ทำให้คุณสุวิมลได้มีโอกาสเริ่มต้นทำงานด้าน Finance ที่ธนาคารในสหรัฐอเมริกา ด้วยเงินเดือนที่สูงถึง 5 ล้านบาทต่อปี แต่ทำไปสักพักก็เริ่มรู้สึกว่าความรู้ที่ได้รับมาจากทุนที่มาจากภาษีประชาชนคนไทยนั้น กลับเอามาทุ่มเทพัฒนาให้กับบริษัทของเมืองนอกเติบโตขึ้น แต่ประเทศไทยไม่ได้อะไรกลับไปเลย การฉุกคิดนี้เอง ทำให้ตนตัดสินใจทิ้งชีวิตที่ต่างประเทศในวัย 21 ปีกลับมาเริ่มต้นใหม่ที่ประเทศไทยด้วยความกตัญญูที่มีต่อประเทศชาติ
“ในช่วงที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกา สิ่งหนึ่งที่เราเห็นเลยคือสินค้าเกษตรสัญชาติไทยเป็นที่ได้รับความนิยมอย่างมาก โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิ ที่แทบจะไม่ต้องทำการตลาดเลย แต่ผู้บริโภคในอเมริการู้ว่ามันดียังไง และต้องเป็นข้าวจากประเทศไทยเท่านั้น”
จากช่องทางโอกาสที่คุณสุวิมลได้สังเกตเห็นตลอดระยะเวลาที่ตนได้อาศัยอยู่ที่อเมริกา เลยเกิดไอเดียที่จะนำเอาจุดแข็งของไทย ซึ่งก็คือสินค้าเกษตรหลักอย่างข้าวเอามาแปรรูปเป็นสินค้าสักอย่างหนึ่ง แล้วตั้งธงว่าจะเน้นขายส่งออกไปยังต่างประเทศ เพราะหากปักหลักขายในประเทศอย่างเดียว ก็เท่ากับว่าตนจะกลายเป็นอีกหนึ่ง Player ที่เอาสินค้าเกษตรมาแปรรูปแล้วขายแข่งขันกับเกษตรกรชาวไทยด้วยกันเอง

ซึ่งด้วยโจทย์ว่าจะทำสินค้าส่งออกต่างประเทศ สิ่งที่สำคัญเลยคือสินค้าต้องมีอายุยาว จึงตีกรอบของสินค้าว่าจะทำเป็นผลิตภัณฑ์ขนม แต่ด้วยความที่พื้นเพหลังของคุณสุวิมลที่ทำงานสายธนาคาร ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับการทำขนม ส่วนที่บ้านก็ทำธุรกิจนำเข้า กระจายสินค้าประเภทกิ๊ฟช็อป ซึ่งก็ไม่ได้เกี่ยวกับการผลิตสินค้าอาหารอีกเช่นกัน จึงเริ่มคลำทางเองจากการซื้อเครื่องจักรตัวเล็ก ๆ เป็นเครื่องเป่าที่ทำให้ขนมพองออกมา ตอนแรกก็ทดลองเอาขนมไปวางขายที่ตลาดในทำเลโรงเรียนเตรียมอุดม และลองผิดลองถูกพัฒนาสูตรขนมเรื่อยมา จนได้ออกงานแสดงสินค้าอาหารสำหรับผู้ประกอบการของ THAIFEX ก็ได้รับฟีดแบคกลับมาพัฒนาอีกเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลาประมาณ 1 ปี จนเริ่มสร้างโรงงาน ทำมาตรฐานอย. และได้คลอดผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกที่เป็นขนมจากข้าวปรุงรส

“สิ่งที่ยากที่สุด คือ ช่วงที่เริ่มสร้างธุรกิจ เพราะเราโดนดูถูกเยอะทั้งในแง่ภาพลักษณ์ของเด็กนักเรียนทุนที่ส่วนใหญ่จะมีงานดี ๆ ทำที่ต่างประเทศ แต่การที่เราลาออกจากงานธนาคารที่อยู่ในโซน Silicon Valley แล้วมาขายขนม ทำให้บางคนมองว่าเราไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต เลยต้องกลับมาอยู่ไทย ซึ่งเราเองก็ต้องใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ในการเริ่มเรียนรู้ใหม่เกี่ยวกับงานธุรกิจผลิตขนมทั้งหมดกว่าจะสร้างให้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาจนคนเริ่มเข้าใจว่า ขายขนมของเรา คือการสร้างโรงงาน มีระบบ จวบจน 10 กว่าปีแล้วภาพมันเลยสะท้อนออกมาให้เห็นความสำเร็จอย่างทุกวันนี้”
สำหรับความภาคภูมิใจของการทำธุรกิจขนมขบเคี้ยวนี้ คงเป็นเรื่องของการส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่ตามปกติแล้วผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่จะเริ่มส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านข้างเคียงก่อน แต่สำหรับเราส่งออกไปยังเนเธอร์แลนด์เป็นที่แรก เป็นขนมจากข้าวที่สอดไส้รสมะม่วง, ทุเรียน และชาไทย ซึ่งสะท้อนเอกลักษณ์ความเป็นไทยอย่างมาก การตอบรับจากตลาดตรงนี้จึงเหมือนกับเป็นจุด Check Point ว่าเรามาถูกทางแล้ว คนต่างประเทศเห็นคุณค่าสินค้าเกษตรของไทยจริง ๆ” คุณสุวิมล กล่าวเสริม
สำหรับ Key Success ของบริษัท คือการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการพยายามตอบสนองความต้องการในทุก ๆ ด้านที่ลูกค้าต้องการ หรือหากลูกค้าต้องการอะไร เราสามารถตอบโจทย์ให้ได้ทั้งกับลูกค้าภายใต้แบรนด์ตนเอง และลูกค้า OEM ด้วย โดยทุกวันนี้ลูกค้าที่รับจ้างผลิตมีความมั่นใจว่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของเขาได้ ซึ่งทางเราได้เปลี่ยนลูกค้าจากที่เป็นคนแปลกหน้า กลายเป็นเพื่อน กลายเป็นครอบครัวที่เติบโตไปด้วยกัน
Challenge ของบริษัท
เนื่องจากเป้าหมายของบริษัทที่เน้นส่งออกไปยังต่างประเทศ และหลีกเลี่ยงที่จะแข่งขันกับผู้ประกอบการในประเทศ ทำให้คู่แข่งขันหลักของบริษัทจะเป็นผู้เล่นจากต่างประเทศ เช่น จีน และประเทศมหาอำนาจ ซึ่งด้วยความที่บริษัทมีจุดเด่นของสินค้าเกษตรของไทยที่ใครก็ลอกเลียนแบบไม่ได้ บวกกับการนำมาแปรรูป บริษัทก็เพิ่มความสามารถในการแข่งขันด้วยการใช้กลยุทธ์ราคา Competitive Price ที่ยังสามารถต่อสู้กับสินค้าต่างประเทศได้ แม้อาจจะมีเกิดการถล่มราคาจากฝั่งของจีน แต่ด้วยความที่บริษัทใช้วัตถุดิบที่มีเอกลักษณ์และมีคุณภาพ จึงยังเป็นจุดแตกต่างที่ทำให้บริษัทสามารถยืนอยู่และเติบโตได้
ส่วนในเรื่องของการจัดการกับความไม่แน่นอน สิ่งสำคัญคือการพยายามกระจายความเสี่ยง ยิ่งขึ้นเรือลำใหญ่ ยิ่งต้องระมัดระวังมากขึ้น เช่นในช่วงตอนเกิดโควิด-19 ทางบริษัทได้ดีลใหญ่ที่สามารถเอาผลิตภัณฑ์ขนมไปวางขายกับห้าง Costco ในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย แต่คุณสุวิมลไม่ได้วางใจที่จะพึ่งพากับที่ ๆ เดียว และพยายามกระจายสินค้าส่งออกไปยังหลายประเทศเพิ่มเติม ทำให้ในช่วงที่เกิดความเปราะบางทางเศรษฐกิจกับโซนยุโรป และสหรัฐ บริษัทก็ยังสามารถประคับประคองและก้าวข้ามผ่านไปได้ ส่วนสถานการณ์ปัจจุบันที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีการผันผวนรายวันอย่างมากจากนโยบายทรัมป์ที่กระทบกับเศรษฐกิจส่งออก ทางบริษัทก็ยังคงต้องเรียนรู้และคอยปรับตัวตามอยู่ตลอด ซึ่งการกระจายตลาดให้เพิ่มมากขึ้นก็ยังเป็นทางออกที่สามารถช่วยรักษาการเติบโตของบริษัทได้
“ทุกวันนี้ เรามีการเพิ่มกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น จากที่แต่ก่อนโฟกัสขายให้กับเด็กอย่างเดียว ปัจจุบันมีการออกสินค้าเพื่อสุขภาพมากขึ้น เช่น ซีเรียล หรือขนมโปรตีน เพื่อไปจับ Niche Market มากขึ้น” คุณสุวิมล กล่าวเสริม
นอกจากนี้ คุณสุวิมลได้กล่าวถึงความท้าทายที่เกิดขึ้นในบริบทของ SMEs ในไทยว่า ทุกวันนี้ทางบริษัทตนเองก็ยังคงต้องแก้ไขปัญหารายวัน เหมือนกับการเล่นเกม ที่ต้องผ่านด่านไปเรื่อย ๆ แต่จุดที่ยากกว่านั้น คือ ทำอย่างไรให้บริษัทเติบโตและยั่งยืน ซึ่งการพยายามสร้างนวัตกรรม Innovation ใหม่ ๆ รวมถึงการฟังเสียงของลูกค้าอย่างสม่ำเสมอว่าสินค้าของเราเป็นอย่างไร ต้องการหรือต้องปรับแก้อะไรเพิ่มหรือไม่ เพราะแต่ก่อนก็เคยทำขนมเด็กที่ใส่เพียงผลไม้อย่างเดียว แต่ตอนนี้พ่อแม่เริ่มใส่ใจสุขภาพของลูกมากขึ้น และ Insight คือ เด็กเล็ก ๆ มักจะมีปัญหาระบบขับถ่าย จึงมีการพัฒนาสูตรขนมที่ใส่พรีไบโอติก เติมวิตามิน เติมแคลเซียมเข้าไป ดังนั้นแล้ว SMEs ควรที่จะเรียนรู้และปรับตัวอยู่ตลอดเวลาเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด
ทิศทางต่อไปของ เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้
สำหรับในอนาคต บริษัทจะเริ่มมุ่งเข้าสู่เส้นทางของ Sustanability มากขึ้น โดยไม่ได้ใส่ใจแค่เรื่องของยอดขายปีต่อปี แต่จะมองในเชิงของการเติบโตอย่างมั่นคงของทั้งองค์กรในระยะยาว เพื่อดูแลพนักงาน 300 กว่าคนในปัจจุบัน ไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนและมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สำหรับรางวัล “Bai Po Business Awards by Sasin” ที่บริษัท เติมเนเจอร์ อินดัสตรี้ จำกัด ได้รับในครั้งนี้ คุณสุวิมลกล่าวว่า ตนนั้นเริ่มรู้จักกับการมอบรางวัลให้กับผู้ประกอบการธุรกิจ SME ที่ประสบความสำเร็จ มาตั้งแต่ตนเริ่มทำธุรกิจนี้ขึ้นมา และมีบริษัทที่ตนมองว่าเป็น Idol นั้นได้รับรางวัลดังกล่าว ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะได้รางวัลอันทรงเกียรตินี้เช่นกัน ซึ่งการได้รับเลือกสำหรับรางวัลนี้ ถือเป็นความภาคภูมิใจและเป็นสิ่งที่ยืนยันว่าบริษัทได้เดินทางมาในเส้นทางของความยั่งยืนที่ถูกต้อง ที่บริษัทเน้นให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ครบทุกวงจรเพื่อการเติบโตไปด้วยกัน และรางวัล Bai Po Business Awards by Sasin ที่ได้รับก็จะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการกระจายสิ่งที่เราตั้งใจทำกลับคืนสู่สังคมเพิ่มมากขึ้น และทำอย่างยั่งยืนในมุมกว้างเพิ่มมากขึ้น
ข่าวเด่น