เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : คู่มือเอาตัวรอดทางการเงินปี 2025 วางแผนการเงินอย่างไรดี? ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน


จากเศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนรอบด้าน ตามที่หลาย ๆ หน่วยงานของไทย ได้ออกมาเตือนกับทั้งภาคธุรกิจและภาคประชาชน ให้เตรียมตัวตั้งรับกับความผันผวนทั้งจากการค้า การลงทุน และการทำธุรกิจ ทำให้ตอนนี้เราทุกคนกำลังอยู่ในจุดที่ต้องมีความระมัดระวัง เพราะมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบทางลบกับเศรษฐกิจได้นับตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2025 เป็นต้นไปจนถึงปีหน้า
 
ทางสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ ล่าสุดได้ออกมาเตือนว่าสถานการณ์เศรษฐกิจไทยปี 2025 มีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด ตามการคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 1.3-2.3% หรือเฉลี่ยอยู่ที่ 1.8% (ปรับลดประมาณการจากเดิม 2.3-3.3%) สอดคล้องกับที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) วิเคราะห์ว่า หากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเผชิญกับความย่ำแย่ก็อาจกดดันให้ GDP เติบโตเพียง 1.3% ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุด คือ การวางแผนทางการเงินให้รอบคอบมากยิ่งขึ้น เพื่อเอาตัวรอดและหาจังหวะทำเงินที่ดีที่สุดในช่วงที่ความเสี่ยงสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
 
วางแผนทางการเงินฉบับบุคคล
 
1. เงินสำรองฉุกเฉิน

• ควรสำรองเงินฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 3-6 เท่า ของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน โดยควรเป็นเงินสภาพคล่องที่สามารถเบิกออกมาใช้ได้ทันที เช่น เงินฝากในบัญชีออมทรัพย์ เพื่อสำรองเอาไว้ใช้ในเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่เศรษฐกิจกำลังมีความเปราะบาง
 
2. ถือเงินสดไว้บางส่วน ประมาณ 20-30%

• คำแนะนำ คือ ควรถือเงินสดไว้ประมาณ 20-30% ของสินทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ (ไม่รวมอสังหาริมทรัพย์) เพื่อรองรับโอกาสที่อาจมาถึงในช่วงเศรษฐกิจกำลังเผชิญปัญหา เช่น หุ้นพื้นฐานดี ถูกเทขาย หรือเกิดราคา Undervalue ขึ้น (ราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง) ก็จะเป็นโอกาสที่เราจะสามารถช้อนเก็บสินทรัพย์ดี ๆ สะสมไว้ในพอร์ตและรอขายทำกำไรได้ในอนาคต

3. ลดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เน้น “จ่ายเพื่ออยู่ ไม่ใช่เพื่อโชว์” 

• ตัดพฤติกรรมของการใช้เงินเกินตัว ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้คนส่วนใหญ่ขาดสภาพคล่องมากที่สุด เนื่องจากปัจจุบันที่เราใกล้ชิดกับสังคมออนไลน์ที่หลากหลายมากขึ้นจากช่องทางโซเชียลมีเดีย ทำให้มีแนวโน้มที่จะเกิดความต้องการการยอมรับ และต้องการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม นำมาซึ่งการซื้อสิ่งของเพื่อประดับภาพลักษณ์ หรือไลฟ์สไตล์ที่ต้องใช้เงินมากกว่าปกติตามวิถีชีวิตของตน เช่น สินค้าแบรนด์เนม หรือการไปร้านอาหาร Fine Dining เป็นต้น

• นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการได้รับอิทธิพลจากสังคมที่ทำให้เกิดความอยากได้ อยากมี ซึ่งเป็นสิ่งของที่ทำให้รู้สึกดีชั่วคราว โดยเฉพาะลักษณะที่เรียกว่า “การป้ายยา” โดยมักจะเป็นของชิ้นเล็ก ๆ กระจุกกระจิก แต่เมื่อรวมมูลค่าแล้วกับเป็นสัดส่วนค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่โดยที่ไม่รู้ตัว เช่น ลิปสติก เครื่องสำอาง ไปจนถึงขนมในร้านสะดวกซื้อที่เป็น Viral ในช่องทางออนไลน์

• ตัดพฤติกรรมการใช้จ่ายที่เป็น Auto-pilot เช่น การ Subscription สตรีมมิ่ง หรือการช้อปปิ้งเมื่อเกิดความเครียด
 
4. กระจายการลงทุน (Diversification)

• ในด้านของการลงทุน แนะนำว่าอย่าลงทุนแบบ All in ไว้ในที่ ๆ เดียว เพราะในสภาพเศรษฐกิจโลกปีนี้ที่สามารถพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ทุกเมื่อ ก็ควรกระจายการลงทุน เพื่อลดทอนความเสี่ยงที่ควบคุมไม่ได้ โดยอาจแบ่งเป็น การลงทุนในทองคำประมาณ 5-10% ในฐานะที่หลบภัยจากการเป็น Stock of Value ที่มั่นคงที่สุด, ลงทุนในหุ้นหรือกองทุน ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือให้เงินปันผลที่ดี, ลงทุนตราสารหนี้ เพื่อเพิ่มเสถียรภาพทางพอร์ตการลงทุน ส่วนหากใครต้องการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เช่น คริปโต ก็อาจแยกเงิน “ที่พร้อมเสียได้” อย่างชัดเจน ไม่เกิน 5-10% เป็นต้น

5. สร้าง “เงินสดเทียม” ด้วยรายได้ที่ไม่ผูกกับเศรษฐกิจโดยตรง 

• หาอาชีพเสริม ที่ใช้ต้นทุนต่ำ เช่น การขายของมือสอง ลองทำ TikTok หรือสร้างช่องออนไลน์ เพื่อโอกาสในการจ้างงานด้านคอนเทนต์ และรับจ้างงานฟรีแลนซ์ตามความถนัดนอกเหนือเวลางานหลักของตัวเอง

• หารายได้ที่เป็น Passive Income เช่น ปล่อยเช่าทรัพย์สิน หรือสร้างสินค้าดิจิทัล เช่น Ebook, Note Template และ Digital Product อื่น ๆ
 
6. เสริมสร้างความรู้การเงิน - เสาะหาโอกาสทางการเงิน 

ช่วงเศรษฐกิจแย่ คือ เวลาที่คนเข้าใจเรื่องเงิน จะได้เปรียบ

• ควรเรียนรู้เรื่องภาษีให้มากขึ้น เพื่อวางแผนลดหย่อนแบบถูกกฎหมาย

• ติดตามเศรษฐกิจต่างประเทศ เช่น การประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (Fed), ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ หรือ Bond Yield เพื่อเท่าทันสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และปรับตัวตามได้ทัน
 
นอกจากนี้ ควรเสาะหาโอกาสทางการเงินอื่น ๆ เพื่อทำให้แผนการเงินในปี 2025 นี้มีความมั่นคงมากขึ้น โดยแนะนำว่าควรติดตามมาตรการช่วยเหลือของทางภาครัฐ อย่างมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ เช่น มาตรการคุณสู้ เราช่วย ที่กำลังผ่อนปรนกฎเกณฑ์ และขยายระยะเวลาลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการ หรือจะเป็นการขยายคุณสมบัติของมาตรการจ่ายตรงคงทรัพย์ จากเดิมต้องมียอดค้างชำระ 30 วันขึ้นไป ก็ปรับให้กลายเป็นลูกหนี้ที่เคยค้างชำระเพียงแค่ 1 วันขึ้นไป รวมถึงบุคคลที่เคยขอรับการปรับโครงสร้างหนี้แล้วสามารถขอเข้ามารับความช่วยเหลือได้ นอกจากนี้ยังมีการขยายเพดานหนี้ในมาตรการจ่าย ปิด จบ จากเดิมที่หนี้เสียไม่เกิน 5,000 บาท ปรับเป็นหนี้เสียที่ไม่ต้องมีหลักประกัน ภาระหนี้ไม่เกิน 10,000 บาทต่อบัญชี และหนี้เสียที่มีหลักประกัน เพดานหนี้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อบัญชี ซึ่งลูกหนี้จะได้รับข้อเสนอให้ชำระหนี้ขั้นต่ำเพียงร้อยละ 10 ของยอดหนี้คงค้างเพื่อปิดหนี้ได้ทั้งหมดในทันที โดยการปรับเปลี่ยนของมาตรการทั้งหมดคาดว่าจะเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาภายในเดือน มิ.ย. 2025 นี้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 04 มิ.ย. 2568 เวลา : 19:07:23
17-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 17, 2025, 12:21 am