เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "แนวโน้มธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำในไทย"


· ในปี 2568 รายได้รวมของธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำคาดว่าจะเติบโตราว 0.6% ได้รับแรงหนุนจากน้ำประปา (+0.7%) และน้ำอุตสาหกรรม (+8.4%) ขณะที่รายได้จากน้ำดิบคาดว่าจะลดลง (- 5.2%) จากปีก่อนหน้า

· รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะโต 0.7% ในปี 2568 จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง ขณะที่รายได้จากการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 8.4% จากปริมาณการจำหน่ายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น

· อย่างไรก็ดี น้ำดิบเป็นผลิตภัณฑ์เดียวที่รายได้จากการจำหน่ายในปี 2568 มีแนวโน้มลดลง โดยคาดว่าจะหดตัวราว 5.2% จากอุปสงค์ที่ลดลงของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นตลาดหลักและมีราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค1

 
 
ภาพรวมธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำ

สำหรับธุรกิจผลิตภัณฑ์น้ำในปัจจุบัน รายได้จากการขายน้ำประปามีสัดส่วนสูงสุด อยู่ที่ราว 56% รองลงมาคือน้ำดิบที่ราว 24% และน้ำอุตสาหกรรมที่ราว 20%

ในปี 2568 รายได้รวมจากการขายผลิตภัณฑ์น้ำทุกประเภทคาดกว่าจะเพิ่มขึ้น 0.6%

แรงหนุนหลักมาจาก รายได้จากการขายน้ำประปาและน้ำอุตสาหกรรม ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การลดลงของรายได้จากการจำหน่ายน้ำดิบ จะเป็นปัจจัยกดดันต่อการเติบโตของรายได้ในภาพรวม

ผู้จำหน่ายน้ำประปา

การจำหน่ายน้ำประปาโดยบริษัทเอกชนเป็นธุรกิจที่ต้องได้รับ สัมปทานจากภาครัฐ ซึ่งจะมีการกำหนดพื้นที่ ระยะเวลา และเงื่อนไขการให้บริการ ทั้งนี้ อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการธุรกิจน้ำประปามักอยู่ในระดับสูง (มากกว่า 60%2) ทำให้ปัจจุบันมีบริษัทเอกชนสนใจเข้ามาลงทุนในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในเขตชุมชนเมืองนอกกรุงเทพฯ

ปริมาณการจำหน่ายน้ำประปาจากบริษัทเอกชนในปี 2568 คาดว่าจะโต 0.5% (รูปที่ 2)

จากจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้อุปสงค์จากภาคการท่องเที่ยวจะมีทิศทางลดลง

 
 
การขยายตัวของเขตพื้นที่ชุมชนเมือง และจำนวนผู้ใช้น้ำประปาที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปริมาณขายน้ำประปายังคงมีแนวโน้มเติบโต อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 ธุรกิจอาจได้รับแรงกดดันจาก จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่คาดว่าจะหดตัวราว 2.8%3 ทำให้ความต้องการใช้น้ำประปา โดยเฉพาะจากภาคบริการในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวมีทิศทางลดลง

รายได้จากการจำหน่ายน้ำประปาคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.7% ในปี 2568 (รูปที่ 3)

จากปริมาณขายที่ยังคงเติบโต และราคาขายที่ปรับขึ้นตามสัญญาสัมปทานของรัฐวิสาหกิจ

โดยสัญญาสัมปทานน้ำประปามักกำหนดให้ผู้ประกอบการสามารถปรับราคาขายขึ้นได้ทุกปีตามอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลให้ทิศทางรายได้ของธุรกิจน้ำประปาในปี 2568 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น

อย่างไรก็ดี ภาพรวมรายได้ธุรกิจน้ำประปาไทยยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปี 2566 อยู่ราว 19.8% เนื่องจาก หนึ่งในโครงการของผู้ผลิตน้ำประปาเอกชนรายใหญ่หมดสัญญาสัมปทาน ในช่วงปลายปี 2566และถูกเปลี่ยนเป็นระบบสัญญาจ้างบริหารจัดการผลิตน้ำประปา ซึ่งมีราคารับซื้อที่ต่ำกว่าสัญญาเดิม

ผู้จำหน่ายน้ำอุตสาหกรรม

ปริมาณการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 7.6% ในปี 2568 (รูปที่ 4)

จากการขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่สู่ตลาดน้ำอุตสาหกรรม

การขยายธุรกิจของผู้ผลิตรายใหญ่จากการให้บริการน้ำดิบเพียงอย่างเดียว สู่การให้บริการน้ำอุตสาหกรรม เพิ่มขึ้น ทั้ง น้ำเพื่ออุตสาหกรรมทั่วไป4และน้ำมูลค่าเพิ่ม5 ส่งผลให้ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมบางราย โดยเฉพาะโรงงานขนาดเล็ก ที่มีความต้องการใช้น้ำเฉพาะทาง หันมาซื้อน้ำอุตสาหกรรมจากผู้ผลิตโดยตรงเพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบไปแปรรูปเอง

 
รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำอุตสาหกรรมคาดว่าจะโต 8.4% ในปี 2568 (รูปที่ 5)

จากปริมาณขายที่เติบโต และสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มที่มากขึ้น

ราคาขายเฉลี่ยของน้ำอุตสาหกรรมในปี 2568 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 0.8% โดยมีปัจจัยหนุนจากการเติบโตของปริมาณจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่ม ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วยสูงกว่าน้ำอุตสาหกรรมทั่วไปไม่น้อยกว่า 25% โดยสัดส่วนการจำหน่ายน้ำมูลค่าเพิ่มของผู้ประกอบการรายใหญ่บางราย เปลี่ยนจากที่อยู่เพียง 5% ของปริมาณขายน้ำอุตสาหกรรมทั้งหมด ในปี 2563 เป็นมากกว่า 15% ในปี 2567

อย่างไรก็ตาม แม้ปริมาณขายและรายได้จะเติบโต แต่การขยายตัวของธุรกิจน้ำอุตสาหกรรมยังคงอยู่ในกรอบจำกัด เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลัก6 ยังคงเผชิญแรงกดดันจากทั้งสงครามการค้าและภาวะอุปทานส่วนเกินของสินค้าจากจีน

ผู้จำหน่ายน้ำดิบ

ผู้จำหน่ายน้ำดิบแบ่งลูกค้าออกได้เป็น 2 ตลาดหลัก

1) การขายให้ภาคอุตสาหกรรม (60% – 70% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่โรงงานและผู้ให้บริการน้ำในนิคมฯ โดยอัตราค่าน้ำดิบในกลุ่มนี้จะเริ่มต้นที่ประมาณ 11.507 บาท/ลบ.ม.

2) การขายให้ภาคอุปโภคบริโภค (30% - 40% ของปริมาณขาย) มีคู่ค้าหลักได้แก่การประปาฯ ซึ่งนำน้ำดิบไปผลิตเป็นน้ำประปาเพื่อจำหน่ายต่อ โดยอัตราค่าน้ำดิบจะอยู่ที่ราว 9.908 บาท/ลบ.ม.

ปริมาณการจำหน่ายน้ำดิบของบริษัทเอกชนคาดว่าจะลดลง 4.5% ในปี 2568 (รูปที่ 6)

ปัจจัยกดดันหลักมาจากความต้องการใช้น้ำดิบในภาคอุตสาหกรรมที่ลดลง แม้ภาคอุปโภคบริโภคจะยังคงโต

 
 
ความต้องการมีแนวโน้มลดลงตามดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ไทยในปี 2568 ที่คาดว่าจะปรับลดลงกว่า 3.4%9 เป็นผลมาจากสงครามการค้า ที่ส่งผลให้ภาคการผลิตและส่งออกสินค้าลดลง โดยเฉพาะในกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ อุปกรณ์ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์อาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีปริมาณการใช้น้ำดิบสูง นอกจากนั้น พฤติกรรมของลูกค้าบางรายที่เปลี่ยนไปซื้อน้ำอุตสาหกรรมโดยตรง เพื่อลดต้นทุน แทนที่จะซื้อน้ำดิบมาแปรรูปเอง ก็ส่งผลกดดันปริมาณการขายน้ำดิบอีกเช่นกัน

ดังนั้น แม้ปริมาณการขายน้ำดิบให้ภาคอุปโภคบริโภคจะยังมีทิศทางเติบโต ตามความต้องการใช้น้ำประปาภาครัฐที่เพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่มากพอที่จะหนุนภาพรวมปริมาณการขายน้ำดิบในปี 2568 ให้โตได้

รายได้รวมจากตลาดการจำหน่ายน้ำดิบคาดว่าจะลดลง 5.2% ในปี 2568 (รูปที่ 7)

จากอุปสงค์ที่หดตัวของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีปริมาณและราคาขายที่สูงกว่าภาคอุปโภคบริโภคโดยรายได้ต่อหน่วยจากการขายให้ภาคอุตสาหกรรมสูงกว่าภาคอุปโภคบริโภค มากกว่า 16%

ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์น้ำไทยในระยะกลางถึงยาว

· กระบวนการบำบัดน้ำเสียแบบ Zero Liquid Discharge (ZLD) ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมโดยเฉพาะรายใหญ่ เนื่องจากเทคโนโลยี ZLD สามารถบำบัดน้ำและนำกลับมาใช้ใหม่ได้เกือบทั้งหมด ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ปริมาณการซื้อน้ำจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตอาจปรับลดลงในอนาคต ทั้งนี้ มูลค่าตลาด ZLD ทั่วโลกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.3 พันล้านในปี 2566 ไปสู่ 10.3 พันล้านดอลลาร์ในปี 2575 หรือโตเฉลี่ยที่ 5.5% ต่อปี10

· ความเสี่ยงด้านสัญญาสัมปทานและการกำกับดูแลจากภาครัฐ โดยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจน้ำประปาภาคเอกชนขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายภาครัฐในการสนับสนุนบทบาทของเอกชนในระบบสาธารณูปโภคเป็นสำคัญ เนื่องจากการขยายพื้นที่ให้บริการต้องอยู่ภายใต้การอนุมัติหรือประมูลสัมปทานจากภาครัฐเท่านั้น อีกทั้งเมื่อครบกำหนดสัมปทานเดิม บริษัทอาจไม่ได้รับการต่อสัญญาหรืออาจถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขซึ่งอาจส่งผลให้รายได้และปริมาณจำหน่ายลดลง
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 มิ.ย. 2568 เวลา : 15:02:39
16-06-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ June 16, 2025, 10:00 am