เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : บอนด์ยีลด์สหรัฐชี้ ดอกเบี้ย Fed สูงเกินจริง ส่งสัญญาณเศรษฐกิจชะลอตัว


สำหรับดอกเบี้ยนโยบายของ Fed ที่ยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25 – 4.50% อย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกันในการประชุม FOMC จากทั้งหมด 8 รอบในปี 2568 นี้ เนื่องจากการเฝ้าระวังผลกระทบด้านเงินเฟ้อที่เกิดจากความไม่แน่นอนสูงในหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะจากมาตรการทางภาษีของทรัมป์ ทำให้ Fed ไม่รีบร้อนตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ยจนกว่านโยบายทางการค้าดังกล่าวจะมีความชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ตาม ในฝั่งของตลาดพันธบัตรสหรัฐ กำลังส่งสัญญาณเตือนอย่างต่อเนื่องว่ากำลังมีความเปราะบางในระบบการเงิน ซึ่งควรที่จะดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่อาจกำลังชะลอตัวลง
 
สกอตต์ เบสเซนต์ (Scott Bessent) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ ได้ออกมาตั้งคำถามต่อทิศทางดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ว่ามีความสอดคล้องหรือไม่สำหรับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ โดยได้ชี้ให้เห็นถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี ที่กำลังสะท้อนความผิดปกติของอัตราดอกเบี้ยที่คงตัวอยู่ในระดับที่สูงเกินไป
 
เพราะในปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยของ Fed ดังกล่าว คงตัวอยู่ในระดับ 4.25 – 4.50% ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี อยู่ที่ระดับ 3.76% ซึ่งโดยปกติแล้วค่าของทั้งสองควรอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกัน ไม่ห่างกันมาก โดยหากต่างกันประมาณ 0% ถึง ±0.25% ถือว่ามีความปกติ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยมากถึง 0.50% – 0.75% ซึ่งค่าที่ต่างกัน ±0.50% ขึ้นไป บ่งบอกว่าตลาดเริ่มมีความกังวล จากความคาดหวังที่กำลังสวนทางกับสิ่งที่ Fed กำลังทำอยู่ เนื่องจากพันธบัตรอายุ 2 ปี สะท้อนถึงค่าเฉลี่ยของอัตราดอกเบี้ยในอนาคต 2 ปีข้างหน้า ถ้าหากตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะตรึงดอกเบี้ยไว้ หรือ ขึ้นดอกเบี้ยต่อ ผลตอบแทนพันธบัตรก็ควรสูงพอ ๆ หรือสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยใน ณ ขณะนั้น
 
แต่เมื่อพันธบัตรอายุ 2 ปี ให้ผลตอบแทนต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันนั้น กำลังเป็นตัวสะท้อนถึงสภาวะ Inverted Yield Curve (ผลตอบแทนกลับหัว) เป็นสัญญาณที่กำลังบอกว่าเศรษฐกิจอยู่ในทิศทางที่ชะลอตัวลง โดยจากที่ผ่านมาในอดีต สภาวะดังกล่าวเป็นตัวชี้วัดว่าเศรษฐกิจกำลังถดถอยได้อย่างแม่นยำหลายครั้ง เช่น ก่อนวิกฤติดอตคอม, ก่อนวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ และก่อนช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา ดังนั้นผลตอบแทนพันธบัตรที่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว กำลังแสดงให้เห็นถึงการที่ตลาดมีความกังวลต่อเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อที่อยู่ในทิศทางลดลง จึงมีความคาดหวังให้ Fed มีการผ่อนคลายดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจขึ้นมา
 
โดยทางด้านของเบสเซนต์ ก็ได้ออกมาเตือนว่าสหรัฐกำลังอยู่ในระดับอัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่สูงมาก ถ้า Fed ไม่เริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงในการประชุม FOMC ประจำเดือนกรกฎาคมนี้ อาจจำเป็นต้องปรับลดแรงขึ้นในการประชุมเดือนกันยายน ซึ่งได้ไม่คุ้มเสีย เพราะอาจทำให้ตลาดการเงินเกิดการ Panic ส่วนภาคธุรกิจที่รอดไม่ทัน ก็ฟื้นขึ้นมาไม่ได้อยู่ดี
 
โดยท่าทีของเบสเซนต์ ถือว่ามีความสอดคล้องกับทางโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐ ที่กดดันเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ให้ดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องในช่วงปีนี้ โดยเขาได้เคยออกมาชี้ถึงสัญญาณของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี ที่อยู่ในระดับ 3.697% เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตามเบสเซนต์ปฏิเสธที่จะตอบโดยตรง ว่าเห็นด้วยกับทรัมป์หรือไม่ ที่ Fed ควรลดอัตราดอกเบี้ยลง 3%
 
และล่าสุดนี้ทางด้านของเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ออกมาโต้ทรัมป์ว่า Fed อาจดำเนินการปรับลดอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว หากไม่มีนโยบายการค้าที่เรียกเก็บภาษีนำเข้าตั้งแต่แรก โดยย้ำว่า Fed ตัดสินใจชะลอการผ่อนคลายดอกเบี้ย เมื่อเห็นขนาดของมาตรการทางภาษีดังกล่าว เพราะมีความเสี่ยงที่เงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนในเดือนกรกฎาคมนั้น Fed ไม่สามารถออกมายืนยันได้ว่าจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้หรือไม่ เพราะทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจเป็นหลัก
 
ขณะที่ โกลด์แมนแซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่และบริษัทให้บริการทางการเงินข้ามชาติของสหรัฐ ปรับลดอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 2 ปี และ 10 ปี ในสิ้นปี 2568 นี้จะอยู่ที่ 3.45% และ 4.2% ตามลำดับ จากที่ตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 3.85% ในพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 4.5% สำหรับพันธบัตรอายุ 10 ปี เพราะมองความเป็นไปได้มากขึ้นว่า Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้ง ในการประชุมประจำเดือน กันยายน, ตุลาคม และธันวาคม จากเดิมที่มองว่า Fed จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

LastUpdate 06/07/2568 21:36:35 โดย : Admin
07-07-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 7, 2025, 7:54 am