เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : เงินทุนไหลเข้าไทย หวังผลเจรจาภาษีสหรัฐ ดันเงินบาทแข็งค่า


ความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในปัจจุบันนี้ นับว่ามีการแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 9 เดือนเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีทิศทางที่ยังคงแข็งค่าอยู่ จึงมีการคาดการณ์ว่าค่าเงินบาทอาจแข็งขึ้นไปถึงประมาณ 32.10 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ จากปัจจัยหลักอย่างเงินทุนต่างชาติที่ไหลเข้ามายังตลาดหุ้นไทย เพื่อเก็งผลของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ ในช่วงโค้งสุดท้ายนี้
 
กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยถึงทิศทางค่าเงินบาทว่าในสัปดาห์นี้ เงินบาทอาจมีการแข็งค่าขึ้นในกรอบ 32.10 บาท - 32.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะแข็งค่าขึ้นในเดือน ก.ค. และเศรษฐกิจไทยยังคงเจอกับมรสุมรุมเร้าหลายด้านก็ตาม แต่เงินบาทไทยกลับมีการสวนทางกับสกุลเงินส่วนใหญ่ในประเทศที่กำลังพัฒนา เช่นเดียวกับที่ทาง Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทเริ่มจะมีกำลังมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตอนนี้ เงินบาทยังไม่มีการอ่อนค่าลงตามที่มีการประเมินไว้ก่อนหน้านี้ และถึงแม้ว่าค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจะทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องก็ตาม แต่เงินบาทเคลื่อนที่ตามราคาทองคำที่มีการทยอยปรับขึ้นมา นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทเข้าใกล้โซนแนวต้านในช่วงที่ผ่านมา จึงเปิดโอกาสให้นักลงทุนในตลาดบางส่วนมีการปรับสถานะการถือครองมากขึ้น
 
โดยในแง่มุมของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐนั้น ตอนนี้ตลาดการเงินมีการปรับตัวผันผวนไปตามกระแสข่าวที่ว่า ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ นั้นมีแนวโน้มที่จะปลดเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ออกจากตำแหน่ง ซึ่งหากนักลงทุนในตลาดกังวลมากขึ้นต่อความเป็นอิสระในการทำงานของ Fed โดยเฉพาะประเด็นว่า Fed อาจถูกแทรกแซงจากฝ่ายการเมือง ความน่าเชื่อถือด้านการดำเนินนโยบายการเงินจะลดลง อันเป็นการทำให้ตลาดการเงินมีความไม่แน่นอน และจะจำกัดการฟื้นตัวของเงินดอลลาร์ ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐก็มีความสุ่มเสี่ยงว่าจะต้องเจอกับความเสียหายในระยะยาว ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่นักลงทุนจะเทขายมากขึ้นในอนาคต ทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงในระยะยาว แต่ในระยะสั้นที่ค่าเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าอยู่นี้ เป็นเพราะตลาดเลือกสนใจข้อบ่งชี้ที่ว่า อัตราภาษีศุลกากรของสหรัฐที่สูงขึ้น กำลังเริ่มส่งผลกระทบต่อราคาสินค้า ซึ่งสนับสนุนให้ Fed จะยังคงไม่รีบกลับมาลดดอกเบี้ยในอนาคตอันใกล้นี้ และจากปัจจัยเงินเยนญี่ปุ่นที่อ่อนค่าลงจากเรื่องการเมืองภายในประเทศช่วงนี้
 
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงชะลอตัวในครึ่งปีหลัง รวมถึงประเด็นที่ Fed อาจถูกคุกคามจากนโยบายของทรัมป์ ทำให้สังเกตจากแนวโน้มราคาของสินทรัพย์ ที่ราคาทองคำมีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าเงินบาทเคลื่อนที่แข็งค่าขึ้นสัมพันธ์กับราคาทองคำ  แต่นอกจากปัจจัยดังกล่าวแล้ว ที่ค่าเงินบาทยังคงแข็งค่าแม้ว่าดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าอยู่ มาจากที่ตลาดมีความคาดหวังต่อผลการเจรจาทางการค้า ในข้อตกลงด้านภาษีระหว่างไทยกับสหรัฐที่อาจมีความชัดเจนในวันที่ 1 ส.ค. 2568 นี้ ทำให้มีเงินทุนไหลเข้ามายังไทยมากขึ้นเพื่อเก็งกำไร โดยทางบริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง เปิดเผยว่าในสัปดาห์ที่แล้วนักลงทุนต่างชาติเข้าซื้อสุทธิหุ้นไทยต่อเนื่องนับตั้งแต่ 7 - 18 ก.ค. 2568 รวมแล้วอยู่ที่ประมาณ 7,524 ล้านบาท จากความคาดหวังการเจรจาดังกล่าว อีกทั้งยังมีการพิจารณาร่วมกับปัจจัยที่มีผลมาจากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ภายใต้การนำของ “วิทัย รัตนากร” ผู้ว่าการ ธปท. คนใหม่ ที่จะหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวสูงขึ้น ดึงดูดแรงซื้อจากบรรดานักลงทุนต่างชาติมากขึ้น
 
โดยหุ้นไทยที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่แข็งค่าและเงินทุนต่างชาติไหลเข้า ได้แก่ GULF, BCPG, BGRIM, GPSC, TOP, BA และ AAV รวมไปจนถึงหุ้นที่มี Market Cap ใหญ่ ๆ ที่มีสภาพคล่องสูงและเป็นเป้าหมายของต่างชาติ ได้แก่ SCB, KBANK, BBL, PTT, PTTEP, SCC, BDMS, CPAXT และ CPF
 
ทั้งนี้ความไม่แน่นอนของการดำเนินนโยบายการค้าของทรัมป์ และความเสี่ยงทางด้านการเมืองในประเทศไทย อาจกดดันให้เงินบาทยังมีความเสี่ยงให้อ่อนค่าลงมาบ้าง แต่จะอ่อนค่าลงมาได้แค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ ซึ่งคาดว่าเงินบาทจะมีแรงต้านอยู่ในโซน 32.50 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 23 ก.ค. 2568 เวลา : 16:57:25
11-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 11, 2025, 12:17 pm