
จากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ที่ผลักดันให้เกิดการฟื้นตัวทางด้านการค้า โดยเฉพาะการส่งออกที่เห็นได้อย่างชัดเจนในช่วงเดือนมิ.ย. 2568 ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.8% แม้จะมีความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐก่อนหน้านี้ก็ตาม แต่จีนก็ได้มุ่งมั่นรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของตัวเองด้วยการทดแทนตลาดสหรัฐด้วยตลาดอาเซียนแทน โดยมีประเทศไทย จุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเร่งส่งออก ที่ทำให้สินค้าจีนทะลักเข้าไทย 28% มากที่สุดในอาเซียน
สำนักงานศุลกากรจีน (GAC) เปิดเผยถึงยอดส่งออกเดือนมิ.ย. 2568 ของจีน ที่มีการปรับตัวขึ้น 5.8% เมื่อเทียบกับช่วงปีที่แล้ว โดยนับเป็นการขยายตัวครั้งแรกตั้งแต่ในช่วงมี.ค. ของปีเดียวกัน ขณะที่การนำเข้าสินค้าในเดือนเดียวกันกลับมาขยายตัวเล็กน้อย 1.1% เทียบกับปีที่แล้ว ส่งผลให้จีนยังมีการเกินดุลการค้าที่สูงขึ้นแตะระดับ 114.77 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยแม้ช่วงก่อนหน้านี้จะมีความขัดแย้งด้านการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐที่ทำให้ในเดือน พ.ค. การส่งออกไปยังสหรัฐมีการหดตัวลงถึง 34% และเดือน มิ.ย. หดตัวลง 16.1% ก็ตาม แต่จีนได้มีการปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจด้วยการส่งออกผ่านไปยังประเทศที่สามเพื่อส่งต่อไปยังประเทศปลายทางตั้งแต่เดือน เม.ย. 2568 โดยเฉพาะประเทศในภูมิภาคอาเซียน ที่ทำให้ยอดการส่งออกไปยังภูมิภาคดังกล่าวล่าสุดเติบโตขึ้น 16.8%
โดยการที่ยอดส่งออกในอาเซียนที่โตผกผันกลับยอดส่งออกสหรัฐที่หดตัวลงไป บ่งบอกถึงการทดแทนตลาดการส่งออกของจีน ที่เร่งการส่งออกมายังอาเซียน โดยเฉพาะไทย จุดยุทธศาสตร์สำคัญ หรือเป้าหมายหลักของจีนที่มีการส่งออกพุ่งแรงที่สุดในภูมิภาคอาเซียนถึง 28% รองลงมาคือเวียดนาม 23.8% และอินโดนีเซีย 17%
โดยเหตุผลที่จีนมีการเร่งการส่งออก เป็นเพราะหลังจากที่ต่อมาทั้งจีนและสหรัฐสามารถบรรลุข้อตกลงลดภาษีแบบต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) ที่ตกลงจะระงับภาษีในอัตรา 100 % สำหรับทั้งสองฝ่าย เป็นเวลา 90 วัน โดยจีนเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐ 10 % ส่วนสหรัฐเก็บจีนที่ 30 % นั้น ยังคงต้องติดตามผลหลังมาตรการลดภาษีระหว่างกันจะสิ้นสุดในวันที่ 12 ส.ค. 2568 (ซึ่งล่าสุดอาจขยายระยะเวลาพักรบออกไปต่อจากนี้อีก) ที่สหรัฐอาจมีการเรียกเก็บภาษีใหม่ในอัตราที่สูงขึ้นกับสินค้าบางอุตสาหกรรมของจีน ทำให้จีนเร่งการส่งออกก่อนข้อยกเว้นภาษี 90 วันจะสิ้นสุด ทั้งกับสหรัฐเอง และอาเซียนที่เป็นตลาดทางเลือกของจีน ณ ขณะนี้
ส่วนหนึ่งแล้วในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนนั้น คือการลดการพึ่งพาการส่งออก ซึ่งรวมไปถึงกระจายตลาดการส่งออกเพื่อลดความเสี่ยงสำหรับกรณีที่จีนโดนกลั่นแกล้งทางการค้าจากสหรัฐ เพราะสหรัฐถือเป็นประเทศที่ตลาดผู้บริโภคใหญ่ที่สุด และมีกำลังซื้อสูง ดังนั้นจีนจึงมีการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะประเทศอาเซียนที่มีข้อตกลงทางการค้าที่เอื้ออำนวยการนำเข้าของสินค้าจีน โดยหลังจากนี้ที่การส่งออกครึ่งปีหลังของจีนอาจยังโดนปัจจัยกดดันจากภาษีสหรัฐที่แม้ตกลงกันแล้ว แต่ในอัตราปัจจุบันยังถือว่าสูงอยู่ ทำให้สินค้าจีนมีแนวโน้มไหลบ่ามายังอาเซียน และไทยมากขึ้นอีกต่อจากนี้
ซึ่งผลกระทบที่จะเกิดขึ้น คือ ตอนนี้ไทย กลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการเข้ามารุกขยายสินค้ากลุ่มต่างๆ ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องเผชิญการแข่งขันรุนแรงมากขึ้น ภาคการผลิตที่หดตัวอยู่แล้วมีทิศทางหดตัวมากขึ้นอีก จากการสู้การมาของสินค้าจีนไม่ไหว โดยเฉพาะด้านราคา โรงงานขนาดเล็กอาจปิดตัวเพิ่มมากขึ้น การจ้างงานลดลง ทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงในที่สุด โดยสินค้าที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือ กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เป็นหลัก
ข่าวเด่น