การค้า-อุตสาหกรรม
สศก. เปิดเวทีสัมมนา ประเมินผลโครงการสำคัญกระทรวงเกษตรฯ ปี 2568 สร้างความสำเร็จรูปธรรม พร้อมรับฟังทุกเสียงสะท้อน ตอบโจทย์เกษตรกรไทย


 
นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนา “การติดตามประเมินผลโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2568” พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “แนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2569” โดยมีนายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวรายงาน ณ โรงแรมเซ็นทารา ไลฟ์ ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ กรุงเทพมหานคร

 
นายฉันทานนท์ วรรณเขจร เลขาธิการ สศก กล่าวว่า สำหรับกิจกรรมตลอดทั้งวัน ประกอบด้วยการบรรยาย เรื่อง “การติดตามประเมินผลโครงการสำคัญของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์” โดยนางธัญธิตา บุญญมณีกุล รองเลขาธิการ สศก. และการเสวนาในหัวข้อ “Agri strong: เสริมแกร่งภาคเกษตรไทยให้ยั่งยืน” ซึ่งได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ นายสุพัฒน์ อ่อนคง เกษตรจังหวัดราชบุรี นายณรงค์ศักดิ์ ชื่นสุชน ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดราชบุรี และนายจรัญ เจริญทรัพย์ เกษตรกรแปลงใหญ่มะพร้าว ซึ่งดำเนินรายการ โดย ดร.ชัฐพล สายะพันธ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประเมินผล ของ สศก. ตลอดจนการระดมความคิดเห็นร่วมกันในหัวข้อ “ทิศทางของแผนงานโครงการของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในระยะต่อไป” โดยนายเมธี จันต๊ะ ผู้อำนวยการส่วนประเมินผลแผนพัฒนาการเกษตร

 
การสัมมนาครั้งนี้ สศก. จะได้รับฟังเสียงสะท้อนและข้อคิดเห็นอันเป็นประโยชน์จากทุกภาคส่วน ซึ่งแนวทางการขับเคลื่อนนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปี 2569 ยังคงยึดหลักการทำงาน พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สานต่อนโยบายเดิม ทั้ง 9 นโยบาย 2 มาตรการต่อเนื่อง ทั้งนี้ สศก. จะรวบรวมทุกความคิดเห็นและข้อเสนอแนะที่ได้จากเวทีนี้ ไปปรับปรุงและพัฒนาการดำเนินงานด้านการติดตามประเมินผล และใช้เป็นข้อมูลสำคัญในการวางแนวนโยบายและโครงการภาคการเกษตรในอนาคตให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน

 
ทั้งนี้ การดำเนินงานที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ ให้ความสำคัญและมุ่งมั่นที่จะนำพาภาคเกษตรไทยก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ เปลี่ยนเกษตรกรจาก "ผู้ผลิตวัตถุดิบ" สู่ "ผู้สร้างคุณค่า" ที่จะเปลี่ยนภาคเกษตร "จากไร่ สู่รันเวย์" ภายใต้วิสัยทัศน์ IGNITE THAILAND ที่จะผลักดันประเทศไทยให้เป็น “ศูนย์กลางการเกษตรของโลก” โดยยอมรับถึงความท้าทายที่เกษตรกรกำลังเผชิญทั้งปัญหาหนี้สิน ต้นทุนสูง ภัยธรรมชาติ และราคาผลผลิตที่ไม่แน่นอน จึงได้ขับเคลื่อนนโยบายเดิม 9 ด้าน และเพิ่ม 2 มาตรการใหม่ คือ ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ และเสริมแกร่งเกษตรกรให้สามารถแข่งขันได้ ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2568 ดังนี้

 
ผลการดำเนินงาน 9 นโยบายสำคัญ และ 2 มาตรการขับเคลื่อน ในปี 2568 ภาพรวมสำคัญ มีดังนี้ นโยบายที่ 1 สร้างวิธีการทำงานสู่การปฏิบัติ เพิ่มประสิทธิภาพศูนย์บริการเกษตรพิรุณราช 2,897 แห่ง ช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหาแล้วกว่า 21,733 เรื่อง  นโยบายที่ 2 เร่งรัดการจัดที่ดินทำกิน ปรับปรุง ส.ป.ก. 4-01 เป็นโฉนดเพื่อการเกษตรแล้ว 134,371 ฉบับ เกษตรกรได้รับสิทธิเข้าทำประโยชน์ในที่ดินแล้ว 29,540 ราย นโยบายที่ 3 บริหารจัดการน้ำทั้งระบบ พัฒนาแหล่งน้ำในพื้นที่รับน้ำ 41 แห่ง บริหารจัดการน้ำท่วมและน้ำแล้งในพื้นที่ชลประทานเดิม 29.94 ล้านไร่ ป้องกันบรรเทาภัยจากน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่เขตเศรษฐกิจ 30,290 ไร่ นโยบายที่ 4 ยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง ส่งเสริมสินค้าอัตลักษณ์พื้นถิ่น เช่น ไก่ชีท่าพระ สร้างรายได้เพิ่มให้ฟาร์มเครือข่าย 80,000 บาทต่อปี และรับรองผลิตภัณฑ์ผ้าไหมไทย (ตรานกยูงพระราชทาน) มูลค่ากว่า 557.80 ล้านบาท นโยบายที่ 5 ยกระดับศักยภาพเกษตรกร/สถาบันเกษตรกร ยกระดับสถาบันเกษตรกรเป็นผู้ประกอบการธุรกิจ 423 แห่ง และพัฒนาเกษตรกรสู่การเป็น Smart Farmer 18,695 ราย  นโยบายที่ 6 จัดการทรัพยากรทางการเกษตร ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในพื้นที่เกษตรกรรม 8,000 ไร่ และจัดการความเสื่อมโทรมของที่ดิน (LDN) 4,190 ไร่ ซึ่งช่วยให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 16,728.57 บาทต่อครัวเรือน นโยบายที่ 7 รับมือกับภัยธรรมชาติ ก่อสร้างระบบป้องกันและบรรเทาอุทกภัยแล้ว 53,537 ไร่ สามารถลดความเสียหายของผลผลิตเกษตรได้ปีละประมาณ 273.15 ล้านบาท นโยบายที่ 8 สานต่อสงครามสินค้าเกษตรเถื่อน ตรวจสอบห้องเย็น โรงฆ่าสัตว์สถานกักกันสัตว์ หรือที่พักซากสัตว์ทั่วประเทศ 4,528 ครั้ง ปราบปรามการลักลอบนำเข้า - ส่งออก สินค้าปศุสัตว์และประมงผิดกฎหมาย 47,405 ครั้ง โดยดำเนินคดีสินค้าปศุสัตว์ 78 คดี มูลค่า 16.94 ล้านบาท และสินค้าประมง 57 คดี มูลค่า 7.23 ล้านบาท   และนโยบายที่ 9 อำนวยความสะดวกด้านการเกษตร ผลักดันนโยบายตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โครงการ 1 อำเภอ 1 แปลงเกษตรอัจฉริยะ เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตข้าวด้วยเทคโนโลยีเกษตรอัจฉริยะ 15 แปลง 150 ไร่ ใน 13 จังหวัด พร้อมทั้งขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกพืชกว่า 3.28 ล้านครัวเรือน สำหรับด้านมาตรการลดต้นทุน เพิ่มรายได้  ดำเนินการผ่านระบบส่งเสริมเกษตรแบบแปลงใหญ่ 2,875 แปลง และผลิตขยายพันธุ์พืชพันธุ์ดีและสัตว์พันธุ์ดีจำนวนมาก ขณะที่มาตรการเสริมแกร่งเกษตรกรให้สามารถแข่งขันได้: ผลักดันการปรับโครงสร้างหนี้ ฟื้นฟูและพัฒนาอาชีพให้สมาชิกกองทุนฟื้นฟูฯ 1,268 ราย บริหารจัดการสินเชื่อแก่สหกรณ์และกลุ่มเกษตรกรที่มีหนี้ค้าง (NPL) 692 แห่ง

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 27 ส.ค. 2568 เวลา : 16:02:46
03-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 3, 2025, 8:08 am