
“ทะเลอันดามัน” พื้นที่ติดชายฝั่งทั้ง 6 จังหวัดทางตอนใต้ของไทย กำลังเป็นความหวังใหม่ที่จะสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ ที่คาดว่าอาจมีการค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับแสนล้านบาทเลยทีเดียว
แม้ว่าทั่วโลกกำลังมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero หรือการร่วมมือกันลดสภาวะโลกร้อน ด้วยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดยเน้นใช้พลังงานหมุนเวียนอย่างพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ แต่แหล่งพลังงานเหล่านี้ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการที่มั่นคง และปริมาณการใช้พลังงานที่สูงขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนั้นปิโตรเลียมจึงยังเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญที่สุดของโลก (คิดเป็นประมาณ 80% ของการใช้พลังงานทั้งหมด) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อชีวิตประจำวัน ครอบคลุมจนถึงธุรกิจต่าง ๆ แทบทั้งสิ้น ไล่ไปตั้งแต่การใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับการขนส่ง การผลิตไฟฟ้า ความร้อน การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ มากมาย เช่น พลาสติก ยาง สารเคมี ยา ปุ๋ย ไปจนถึงการผลิตเหล็ก ปูนซีเมนต์ และปิโตรเคมีในภาคอุตสาหกรรม
โดยไทย เป็นประเทศที่ยังคงจำเป็นต้องใช้พลังงานจากก๊าซธรรมชาติควบคู่ไปกับพลังงานสะอาดเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แต่ในปัจจุบัน ประเทศไทยจำเป็นต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติ เพื่อใช้ผลิตไฟฟ้า ซึ่งการพึ่งพาพลังงานจากต่างประเทศถือว่ามีความเสี่ยงทางด้านราคา และการขาดแคลน เช่นปัญหาในช่วงสงครามตะวันออกกลาง ที่ราคาก๊าซพุ่งขึ้น 3 เท่าตัว กระทบต่อค่าไฟในไทยที่แพงขึ้นจนทำให้รัฐบาลต้องนำเงินจำนวนมากมาพยุงราคาพลังงาน ซึ่งกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม
ดังนั้นแล้วหากประเทศไทย สามารถจัดหาเชื้อเพลิงในประเทศได้ ก็จะทำให้เรามีความมั่นคงทางด้านพลังงานมากขึ้น และยังสามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างยั่งยืนต่อไป ซึ่งการที่กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ กระทรวงพลังงาน กำลังเดินหน้าพลิกโฉมกิจการสำรวจและผลิตปิโตรเลียมในประเทศอีกครั้ง ด้วยการเปิดประมูลสำรวจปิโตรเลียมรอบที่ 26 ในทะเลอันดามัน บริเวณที่มีความคาดหวังสูงว่าจะค้นพบแหล่งก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ ซึ่งจะมีศักยภาพใกล้เคียงกับแหล่งมูดาปา (Mubadala) ของประเทศมาเลเซีย ที่มีปริมาณก๊าซธรรมชาติระดับ 10 ล้านล้านลูกบาศก์ฟุต
สำหรับประโยชน์ที่ประเทศไทยจะได้รับ หากค้นพบแหล่งก๊าซในทะเลอันดามันได้จริง จะสร้างประโยชน์มหาศาลต่อประเทศ ทั้งในด้านความมั่นคงทางพลังงาน ที่จะช่วยลดการพึ่งพาการนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากต่างประเทศ และโครงการสำรวจนี้ จะนำไปสู่การสร้างงานใหม่ ๆ และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือ และโรงงานแปรรูปก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) คาดจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจระดับแสนล้านบาทเลยทีเดียว
โดยการสำรวจรอบใหม่นี้ จะมีการเปิดประมูลสิทธิที่คาดว่าจะเริ่มเปิดให้ยื่นภายในปลายปี 2568 และประกาศผู้ชนะในปี 2569 โดยกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติอยู่ระหว่างพิจารณาปรับระบบสัมปทานให้ยืดหยุ่นมากขึ้น อาจใช้ระบบแบบผสมผสาน (Hybrid) และแบ่งปันผลผลิต (PSC) เพื่อสร้างแรงจูงใจแก่นักลงทุน ซึ่งปัจจุบันได้รับความสนใจจากบริษัทน้ำมันระดับโลก (Seven Sisters) อาทิ เชฟรอน, ENI, ปตท.สผ., โททาล และเอ็กซอน เป็นต้น ดังนั้นการสำรวจนี้มีโอกาสสูงที่ไทยจะมีแหล่งพลังงานที่สำคัญใหม่เกิดขึ้น และจะสร้างความมั่นคงด้านพลังงานของไทยได้นานกว่า 20 ปีเลยทีเดียว
ข่าวเด่น