หุ้นทอง
ธุรกิจครอบครัวในตลาดหุ้นไทย


จากการศึกษาฐานข้อมูลบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” (family business) จากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2568 จำนวน 850 บริษัท พบว่า
 
• 646 บริษัท จาก 850 บริษัท หรือ 76% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่ทำการศึกษา จัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” ซึ่งมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมคิดเป็น 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด 
 
• บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวกระจายตัวในทุกหมวดธุรกิจ ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์ และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง)
 
• ธุรกิจครอบครัวใช้กลไกตลาดหุ้นไทยในการระดมทุนเพื่อขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง โดยพบว่า 84% ของบริษัทจดทะเบียนที่เข้าซื้อขายในช่วงปี 2558 ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 2568 เป็นธุรกิจครอบครัว
 
ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - 2567) ธุรกิจครอบครัวอาศัยกลไกจากการระดมทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นแหล่งเงินทุนเพื่อขยายกิจการ โดย 264 บริษัทระดมทุนผ่านการเสนอขายหลักทรัพย์ต่อประชาชนครั้งแรก ด้วยมูลค่าระดมทุนครั้งแรกรวมกว่า 482,190  ล้านบาท หรือ 77% ของมูลค่า IPO ทั้งหมด 
 
ในช่วงเวลาเดียวกัน บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้นไทยระดมทุนในตลาดรอง 108 บริษัท 410 ครั้ง ด้วยมูลค่าระดมทุนในตลาดรองรวมกว่า 351,131 ล้านบาท
 
• ในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีรายได้รวมสูงถึง 9 ล้านล้านบาท คิดเป็น 48.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ และรวมจ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลกว่า 126,035 ล้านบาท คิดเป็น 16.4% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปี 2567
 
• บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงานในประเทศ โดยในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว 642 บริษัท มีพนักงานรวม 1.48 ล้านคน เพิ่มขึ้น 1.8% จากปี 2566 โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ ที่มีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่มากกว่า 80% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
 
Disclaimers:
 
ข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารฉบับนี้ จัดทำขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และแนวคิดแก่ผู้อ่าน มิใช่การให้คำแนะนำด้านการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศ ไทยมิได้ให้การรับรองในความถูกต้องของข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้น อันเนื่องจากการนำข้อมูลไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดไปใช้อ้างอิง หรือเผยแพร่ไม่ว่าในลักษณะใด นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมข้อมูลไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดตามหลักเกณฑ์ที่เห็นสมควร ทั้งนี้ ความเห็นที่ปรากฎในรายงานฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

76% ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด คิดเป็น 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมทั้งตลาด (total market capitalization) โดยกระจายตัวในทั้ง SET และ mai และในทุกหมวดธุรกิจ

ในการศึกษานี้เป็นการศึกษาเกี่ยวกับธุรกิจครอบครัว (Family Business) ของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) จากข้อมูลรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทจดทะเบียนแต่ละบริษัทที่มีการปิดสมุดทะเบียนล่าสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม - มิถุนายน 2568  จำนวน 850 บริษัท ซึ่งพบว่า 646 บริษัท หรือ 76% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยจัดเป็น “ธุรกิจครอบครัว” ตามคำนิยามธุรกิจครอบครัวในการศึกษานี้  (ภาพที่ 1) โดยบริษัทจดทะเบียนกลุ่มนี้มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวมสูงถึง 50% ของมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (total market capitalization)
 
ภาพที่ 1 นิยามของธุรกิจครอบครัว ปี 2568 สำหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย

 
บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว ส่วนใหญ่จดทะเบียนซื้อขายใน SET ซึ่งมีทั้งบริษัทขนาดใหญ่และเล็ก และมีส่วนสำคัญในการเป็นองค์ประกอบดัชนีต่างๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ

จากที่พิจารณาโครงสร้างการถือครองหุ้นของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว พบว่า สมาชิกครอบครัวถือหุ้นทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านนิติบุคคลต่างๆ อาทิ ห้างหุ้นส่วน บริษัทจำกัด บริษัทมหาชน และกองทุน เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จดทะเบียนใน SET และเป็นองค์ประกอบสำคัญของดัชนีต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ (ตารางที่ 1 และตารางที่ 2) 

 
และหากพิจารณาตามรายชื่อหลักทรัพย์ที่เป็นองค์ประกอบดัชนีต่างๆ ตามตารางที่ 2 พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวอยู่ในทุกดัชนี และจำนวนบริษัทที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนสูงกว่า 60% ของทุกดัชนี

บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวกระจายตัวอยู่ในทุกหมวดธุรกิจ ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์ และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง)

บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวส่วนใหญ่พัฒนามาจากธุรกิจดั้งเดิมของตระกูลหรือเป็นธุรกิจจัดตั้งใหม่ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งธุรกิจและกระจายตัวอยู่ในทุกหมวดธุรกิจ โดยเฉพาะในหมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดพาณิชย์ หมวดเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หมวดการแพทย์ หมวดบริการรับเหมาก่อสร้าง และในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (กลุ่มบริการ กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง) ตามตารางที่ 3

 
เมื่อพิจารณาสัดส่วนธุรกิจครอบครัวในแต่ละหมวดธุรกิจ พบว่า 12 หมวดธุรกิจมีสัดส่วนธุรกิจครอบครัวมากกว่า 80% ได้แก่ หมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ หมวดพาณิชย์ หมวดการแพทย์ หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ หมวดวัสดุอุตสาหกรรมและเครื่องจักร หมวดวัสดุก่อสร้าง หมวดของใช้ส่วนตัวและเวชภัณฑ์ หมวดบรรจุภัณฑ์ หมวดแฟชั่น หมวดธุรกิจการเกษตร และหมวดกระดาษและวัสดุสิ่งพิมพ์

บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวดำเนินการกิจการโดยอาศัยเงินทุนส่วนตัวและเงินทุนจากตลาดเงิน ก่อนเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาด ซึ่งมีอายุกิจการโดยเฉลี่ย 36 ปีนับจากก่อตั้งกิจการ และมีอายุกิจการเฉลี่ย 19 ปีก่อนจดทะเบียน

เมื่อพิจารณาความยั่งยืนของกิจการ จากอายุกิจการนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบัน  (ปี 2568) ของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวตามการศึกษานี้ พบว่า มีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 36 ปี โดยบริษัทจดทะเบียนที่มีอายุนับตั้งแต่ก่อตั้งจนถึงปัจจุบันมีอายุกิจการยาวนานที่สุดนานถึง 149 ปี หรือประมาณ 3 เท่าของอายุของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตามตารางที่ 4

 
เมื่อพิจารณาการมีส่วนร่วม (contribution) ของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวในตลาดหุ้นไทยต่อเศรษฐกิจไทย พบว่า ในปี 2567 รายได้รวมของบริษัทจดทะเบียนจัดเป็นธุรกิจครอบครัวในตลาดหุ้นไทย คิดเป็น 48.5% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)  หรือเฉลี่ย 40.5% ในช่วงปี 2560 - 2567 (ภาพที่ 5) อาจกล่าวได้ว่า ธุรกิจครอบครัวมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น ควรส่งเสริมสามารถระดมทุนเป็นวงกว้างเพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน 
 
เมื่อพิจารณาการเติบโตของกำไรสุทธิและสินทรัพย์รวมของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวในช่วงเวลาเดียวกัน (ภาพที่ 6 และภาพที่ 7) พบว่า สินทรัพย์รวมของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวเติบโตสูงมาก เฉลี่ยปีละ 9.63% สะท้อนว่า การระดมทุนในตลาดหุ้นไทยมีส่วนช่วยให้ธุรกิจครอบครัวสามารถจัดหาเงินทุนเพื่อขยายกิจการในระยะยาว ขณะที่อัตราการเติบโตของกำไรสุทธิค่อนข้างต่ำเฉลี่ยปีละ 3.05% แต่สูงกว่าการเติบโตของ GDP ที่เติบโต (CAGR) เฉลี่ยปีละ 2.64% 

บริษัทจดทะเบียนที่เป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้เสียภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ภาครัฐตามการจัดเก็บจากกรมสรรพากร และมีส่วนช่วยในการจ้างงานในระบบเศรษฐกิจไทย

ปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวจำนวน 641 บริษัท จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลรวมสูงกว่า 126,035 ล้านบาท คิดเป็น 37.92% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดในตลาดหุ้นไทยที่จ่ายให้ภาครัฐในปี 2567  หรือ 16.35% ของภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งระบบที่กรมสรรพากรจัดเก็บในปี 2567 (ภาพที่ 8)

นอกจากนี้ บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผ่านการจ้างงาน (ภาพที่ 9) โดยในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัว จำนวน 642 บริษัท มีจำนวนพนักงานรวม 1.48 ล้านคน  เพิ่มขึ้น 1.8% จากปี 2566 ซึ่งจำนวนพนักงานของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวนี้ คิดเป็น 9.3% ของจำนวนพนักงานที่เป็นลูกจ้างภาคเอกชนทั้งหมดในปี 2567  

 
 
เมื่อพิจารณาการจ้างงานรายกลุ่มอุตสาหกรรม พบว่า จำนวนพนักงานของบริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวมีสัดส่วนค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้น (ภาพที่ 10)  โดยเฉพาะในกลุ่มเกษตรและอาหาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และกลุ่มบริการ ที่มีการจ้างพนักงานในสัดส่วนที่มากกว่า 80% ของจำนวนพนักงานทั้งหมดในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ 

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า บริษัทจดทะเบียนที่จัดเป็นธุรกิจครอบครัวใช้กลไกตลาดทุนเพื่อระดมทุนขยายกิจการ ทั้งผ่านกิจกรรม IPO และระดมทุนเพิ่มเติมในตลาดรอง และมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยในฐานะผู้จ่ายภาษีและผู้จ้างงาน ดังนั้น ภาครัฐควรสนับสนุนให้ธุรกิจครอบครัวสามารถแข่งขันและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจในอนาคต

 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 ก.ย. 2568 เวลา : 20:32:28
17-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 17, 2025, 11:17 am