
“ข้าว” สินค้าทางการเกษตรที่สำคัญต่อการส่งออกไทย ซึ่งครั้งหนึ่งเราเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 2 ของโลก แต่มาในวันนี้ นอกจากประเทศคู่แข่งอย่างเวียดนามจะสามารถแซงหน้าขึ้นแท่นผู้ส่งออกเป็นอันดับ 2 แทนไทยได้แล้ว ประเทศอินเดีย ที่เป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก กำลังเตรียมจะระบายข้าวในสต๊อกที่มีกว่า 20 ล้านตันออกมาเทขายในตลาด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อราคาข้าวในตลาดโลก และกดดันการส่งออกข้าวไทยให้มีส่วนแบ่งทางการตลาดที่น้อยลงไปอีกอย่างไม่ต้องสงสัย
ประเทศอินเดีย เคยมีคำสั่งห้ามส่งออกข้าวตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 เพื่อรักษาความมั่นคงทางอาหาร ให้คนภายในประเทศมีข้าวบริโภคที่เพียงพอ ทำให้ในตอนนั้นตลาดส่งออกโดยรวมของไทยขยายตัวได้ เพราะประเทศคู่ค้าหันมานำเข้าข้าวจากไทยมากขึ้น
รวมถึงอานิสงส์ของความต้องการสำรองอาหารไว้เพื่อรองรับความไม่แน่นอนจากภาวะสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อ แต่หลังจากที่อินเดียประกาศยกเลิกแบนการส่งออกข้าวในกลุ่มข้าวขาว ตั้งแต่ปลายปี 2567 ทำให้ภาวะอุปทานข้าวล้นตลาดเริ่มเกิดขึ้น จากการที่ประเทศผู้ผลิตข้าวที่สำคัญอย่างอินเดียเข้ามามีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะในปี 2568 ที่ในช่วง 6 เดือนแรก อินเดียส่งออกได้ 11.68 ล้านตัน รองลงมาเป็นเวียดนาม ส่งออกปริมาณ 4.72 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 3.6% ในขณะที่ไทยตกมาอยู่อันดับ 3 ที่ส่งออกได้ปริมาณ 3.73 ล้านตัน ลดลง 27.3% จากปีที่แล้ว
แต่วิกฤติข้าวไทยยังรุนแรงได้อีก เมื่ออินเดียประกาศว่าจะมีการระบายข้าวจำนวนมหาศาลถึง 20 ล้านตันภายในเดือนกันยายนนี้ โดยบางส่วนจะนำไปใช้ในการผลิตเอทานอล และเอาไปช่วยเหลือคนยากจน แต่ที่เหลือส่วนใหญ่จะเอาไปขายในตลาดทั่วไป ซึ่งอินเดีย เป็นประเทศที่ส่งออกข้าวขาว (Non-basmati Rice) เป็นหลัก เป็นประเภทเดียวกับข้าวที่ไทยส่งออกไปต่างประเทศ และการเทขายของอินเดียครั้งนี้ก็คาดว่าจะส่งออกในราคาที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ตามหลักของอุปทานที่มากกว่าอุปสงค์ โดยอาจตั้งราคาขายไว้ที่ประมาณ 230 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และถ้าบวกค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เพิ่มเติมไปจนถึงกระบวนการส่งออก ราคาก็อาจจะขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 280-300 ดอลลาร์สหรัฐ
ในขณะเดียวกัน อ้างอิงข้อมูลตามสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ราคาข้าวขาวส่งออกไทยล่าสุด ( ณ วันที่ 30 กรกฎาคม 2568) อยู่ที่ประมาณ 387 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน สำหรับข้าวขาว 5% ซึ่งก็เป็นราคาที่ลดลงแล้ว เพราะแต่ก่อนเราขายได้ถึง 618.8 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ผลกระทบที่เกิดขึ้นนี้ คาดว่าจะทำให้ชาวนาขายข้าวเปลือกได้เพียง 5,000-6,000 บาทต่อตัน จากที่เคยขายได้เฉลี่ยสูงถึง 1.2 หมื่นบาทต่อตัน และแม้รัฐจะจ่ายช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ก็ยังไม่พอชดเชยต้นทุนจากการโดนกดราคาข้าวในตลาดโลก
อย่างไรก็ตาม ราคาข้าวขาว 5% ของไทย ณ วันที่ 30 ก.ค. 2568 ที่กล่าวไปว่าอยู่ที่ 387 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันนั้น สำหรับราคาข้าวขาว 5% ของทางฝั่งเวียดนาม อยู่ที่ 384-388 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน และอินเดีย 377-381 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน ซึ่งข้อมูลดังกล่าวนี้หมายความว่า เมื่ออินเดียมีการเทขายข้าวจริงในเดือนกันยายนนี้ จะทำให้การแข่งขันด้านราคาในตลาดเป็นไปอย่างรุนแรง และจะทั้งกดดันราคาข้าวไทยให้ต่ำลงไปกว่านี้อีกประกอบกับเราจะเสียตลาดส่วนแบ่งทางการตลาดไป ประเทศที่เคยนำเข้าข้าวจากไทยโดยเฉพาะอิรัก และกลุ่มประเทศแอฟริกา จะหันไปซื้อข้าวประเทศอินเดียเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ทางฝั่งของเวียดนามมีการรุกตลาดพรีเมียมแข่งกับข้าวหอมมะลิของไทยอย่างเต็มที่ จากการที่เวียดนามหันมาปลูกข้าวเกรดพรีเมียมเพื่อส่งออก โดยหวังจะกินส่วนแบ่งในตลาดหลักอย่างสหรัฐมากขึ้น ซึ่งเมื่อปัญหาขัดแย้งไทย-กัมพูชา อาจส่งผลให้ข้าวหอมจากกัมพูชาไหลไปเวียดนาม ที่จะเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของเวียดนามด้วยแล้ว ประกอบกับมาตรการทางภาษีกับสหรัฐที่โดนเรียกเก็บในอัตราที่ใกล้เคียงกับไทย ทำให้ตอนนี้ตลาดส่งออกข้าวไทยกำลังโดนมรสุมทั้งขึ้นทั้งล่อง ซึ่งก็คงจะเป็นโจทย์สำคัญที่ให้รัฐบาลไทย รวมถึงกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ต้องเร่งแก้ไขอย่างเร่งด่วน และวางแผนรับมือช่วยเหลือให้ชาวนาไทยสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปให้ได้
ข่าวเด่น