
จากรายงานตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าคาดค่อนข้างมากนี้ ได้ตอกย้ำถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินนโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลายของ Fed อีกทั้งยังผลักดันให้ราคาทองคำพุ่งสูงทะลุระดับ All Time High เป็นที่เรียบร้อย และโดยหากกรณีที่ทรัมป์สามารถเข้าแทรกแซง Fed ได้จริงตามที่ตลาดกังวล ก็มีโอกาสที่ราคาทองคำจะทะยานไปถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เลยก็เป็นได้

เนื่องด้วยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐ หรือ Nonfarms Payrolls ของเดือนสิงหาคม ที่ได้เผยแพร่เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมานั้น ลดลงมาเหลือเพียง 22,000 ตำแหน่ง น้อยกว่าที่คาดการณ์ที่ 75,000 ตำแหน่งค่อนข้างมาก บ่งบอกถึงความอ่อนแอของตลาดแรงงานในสหรัฐ ที่สะท้อนถึงสภาวะที่คนตกงานมากขึ้น มีรายได้ลดลง รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคลดต่ำ ส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดการชะลอตัวลงตามไปด้วย ซึ่งก็ตอกย้ำความคาดหวังมากขึ้นว่าธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed จะมีการเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ภายในการประชุมเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ สอดคล้องกับการให้สัญญาณการปรับเปลี่ยนนโยบายทางการเงินของเจอโรม พาวเวลล์ ประธาน Fed ที่ให้ความสำคัญในการโอบอุ้มเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ชะลอตัวลงมากเกินไปจากความผิดปกติของตลาดแรงงานก่อนหน้านี้
โดยความเป็นไปได้อย่างชัดเจนว่า Fed จะมีการลดดอกเบี้ยลง จากความอ่อนแอของตลาดแรงงานสหรัฐ ก็ผลักดันให้ราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ พุ่งสูงขึ้น โดยเฉพาะทองคำ ที่มีราคาผกผันกับสกุลเงินสหรัฐ (ที่ในตอนนี้โดนกดดันจาก Nonfarms Payrolls) ก็ทำให้ระดับราคาทะลุแนวต้าน All Time High ที่ 3,580 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ เป็นที่เรียบร้อย จากแรงเข้าซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก และความคาดหวังว่า Fed จะเริ่มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย ทั้งนี้ราคาทองคำยังมีโอกาสทะลุแนวต้านดังกล่าวไปถึงระดับ 3,600 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือเฉียด 54,000 บาท/ทองคำ 1 บาทของไทยได้ในระยะอันใกล้นี้
ขณะเดียวกัน ทางด้านของ Goldman Sachs วาณิชธนกิจและบริษัทให้บริการทางการเงินรายใหญ่ที่สุดในโลก กล่าวว่า มีความเป็นไปได้สูงที่สุดที่ราคาทองคำในตลาดโลกจะขยับขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในกลางปี 2569 และในกรณีร้ายแรงกว่านั้น อาจพุ่งขึ้นสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือราว 76,500 บาท/ทองคำ 1 บาทของไทยเลยทีเดียว โดยกล่าวว่ากรณีร้ายแรงนี้ มีสาเหตุมาจากความพยายามของประธานาธิบดีโดนัลท์ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ที่คอยกดดันและควบคุม Fed เช่น การปลด ลิซ่า คุก ผู้ว่าการ Fed กลางคัน ซึ่งนับเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกนับตั้งแต่การก่อตั้ง Fed ในปี 1913 ที่ผู้นำสหรัฐใช้อำนาจปลดผู้ว่าการโดยตรง เหตุการณ์นี้เองได้สร้างความกังวลต่อเสถียรภาพทางการเงินโลก ที่ Fed อาจสูญเสียอิสรภาพ และส่งผลร้ายแรงต่อเศรษฐกิจโลก ดังนั้นเองทองคำ ที่มีสถานะเป็น Store of Values จึงเป็นสินทรัพย์ที่ถูกจับตามองในสายตานักลงทุนทั่วโลก โดยหาก Fed ถูกแทรกแซงจริง (ซึ่งหมายถึงว่าการเงินโลกไม่ปลอดภัยอีกต่อไปแล้ว) ก็จะอาจทำให้ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้นไปถึงระดับที่เรียกว่าร้ายแรงดังกล่าว
นอกจากนี้ ความกังวลของสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กำลังคุกรุ่นอีกรอบ ก็เป็นตัวอย่างชั้นดีที่บ่งบอกว่าทองคำนั้นมีค่าและมั่นคงมากที่สุดท่ามกลางความไม่แน่นอน ประกอบกับความเสี่ยงของการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่ยังคงมีปัญหาค้างคาในเรื่องของสภาวะเงินเฟ้อที่ล่าสุดยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ก็เป็นความเสี่ยงที่หากลดดอกเบี้ยไปแล้ว จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐมีโอกาส Hard Landing หรือเสี่ยงต่อตลาดหุ้นที่จะปรับฐานลงมากว่า 10 - 20% เลยทีเดียว ซึ่งก็ยิ่งเป็นตัวตอกย้ำให้ผู้คนแย่งกันถือทองคำไว้กับตัว เพื่อประกันความมั่นคงของตัวเองเอาไว้ท่ามกลางพิษเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อไหร่ก็ได้
ข่าวเด่น