เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : "ค่าครองชีพสูง" คนไทยมีรายได้ไม่พอรายจ่าย จากปัญหาเศรษฐกิจโตช้าเกินไป


 

โอกาสในการสร้างผลงานของรัฐบาลชุดใหม่มาถึงแล้ว กับโจทย์ใหญ่อย่างการเข้ามาโอบอุ้มเศรษฐกิจไทยให้ผ่านพ้นขีดอันตรายไปให้ได้ หลังจากที่ปัญหาเศรษฐกิจได้ถาโถมเข้ามาพร้อม ๆ กัน ทั้งเรื่องของการโดนเรียกเก็บภาษีจากทรัมป์ที่ยังไม่มีความชัดเจน ความสามารถด้านการแข่งขันทางด้านการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนที่ลดลง ส่งเสริมปัญหาภายในอย่างค่าครองชีพที่สูง รวมถึงหนี้ครัวเรือนให้ทวีคูณความเรื้อรัง และแก้ไม่จบสักที
 
จริงอยู่ว่าสหรัฐอเมริกาและไทยบรรลุข้อตกลงการค้า ที่จะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากไทยในอัตราภาษี 19% (ลดลงจาก 36%) แต่ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงการเห็นชอบร่วมกันขั้นเบื้องต้น ยังไม่มีข้อผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งจะมีขั้นตอนเข้าสู่กระบวนการเจรจารายละเอียดเพิ่มเติม แต่เนื่องจากสถานการณ์การเมืองไทยที่เปลี่ยนแปลงล่าสุด ทางครม.ชุดใหม่จำเป็นที่จะต้องสานต่อการเจรจากับสหรัฐ เพื่อกำหนดสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้า และการกำหนดโควต้าการนำเข้าสินค้าที่ไทยจะยกเว้นให้กับสหรัฐ ซึ่งจะมีผลต่อการส่งออกของบ้านเรา ให้มีความสามารถในการแข่งขันทัดเทียมกับประเทศคู่แข่งที่อยู่ใกล้เคียงให้ได้ แต่ว่าสถานการณ์การส่งออกของไทยช่วงครึ่งหลังของปี 2568 อ้างอิงจากการประเมินของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่ามีแนวโน้มหดตัวราว 10% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
 
นอกจากนี้ การตกลงเงื่อนไขการเก็บภาษีกับสหรัฐดังกล่าว ยังกระทบต่อสินค้าที่นำเข้ามายังไทย รวมถึงภาคการผลิตของไทยที่เป็นหนึ่งในท่อน้ำเลี้ยงที่สำคัญของเศรษฐกิจด้วย ทั้งหมดนี้ได้เข้ามาซ้ำเติมปัญหาของหนี้ครัวเรือน และหนี้ของเกษตรกรที่คาราคาซังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่มีสาเหตุจากรายได้ไม่พอรายจ่าย โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภคและหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อีกทั้งยังพบว่าสัดส่วนในหนี้นอกระบบยังสูงถึง 30.1% อีกด้วย เมื่อมีข้อจำกัดของการขยายตัวในภาคการผลิต การส่งออก ที่ยึดโยงกับการจ้างงานในตลาด ก็ยิ่งส่งผลให้เงินในกระเป๋าของคนไทยน้อยลง มีภาระหนี้สะสม แล้วยิ่งมีเรื่องของสินค้านำเข้าที่มีราคาเพิ่มสูงขึ้น ก็ยิ่งทำให้กำลังซื้อของคนไทยถดถอยลงไปอีก
 
ยิ่งไปกว่านั้นอีกหนึ่งเครื่องยนต์หลักของเศรษฐกิจไทย อย่างการท่องเที่ยว ก็มีการชะลอตัวลงไปอย่างมาก จากปัจจัยรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มอ่อนแรงลง จนต้องจำกัดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยอย่างการท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยเฉพาะชาวจีนที่มีอัตราฟื้นตัวเพียง 40% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด-19 นอกจากนี้ยังมีการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวที่รุนแรงขึ้นในภูมิภาคเดียวกัน และปัญหาความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ล้วนส่งผลกระทบทางลบต่อการท่องเที่ยวของไทยทั้งสิ้น โดยทางวิจัยกรุงศรีคาดว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2568 จะลดลงเหลือ 34 ล้านคน ต่ำลงจากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 35.5 ล้านคน เป็นการลดลงรายปีครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2564
 
ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาทั้งหมดจะส่งผลทำให้ไทยมีสภาวะค่าครองชีพที่สูงขึ้น ขณะที่รายได้ของคนไทยลดต่ำลง นับเป็นปัญหาปากท้องที่จำเป็นต้องแก้ไขอย่างเร่งด่วนที่สุด และแม้ว่ารัฐบาลชุดใหม่ภายใต้การนำของว่าที่นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 “อนุทิน ชาญวีรกุล” จะมีเวลาเพียง 4 เดือน ก่อนจะยุบสภาตามข้อตกลง ซึ่งอาจจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างทั้งหมดได้ แต่สิ่งสำคัญที่รัฐบาลชุดใหม่ควรทำให้เห็นชัดเจนมากที่สุดในเวลานี้ก็คือ ครม.เศรษฐกิจ ที่มีประสิทธิภาพ มีเสถียรภาพ และสามารถสร้างความเชื่อมั่นในการเรียกการลงทุนให้กลับมาให้ได้เพื่อโอบอุ้มปัญหาทางเศรษฐกิจในขณะนี้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 07 ก.ย. 2568 เวลา : 07:16:09
09-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 9, 2025, 1:53 am