
ด้วยตลาดการเงินที่เชื่อมต่อกันทั่วโลกอย่างไร้เขตแดนนั้น เมื่อประเทศที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจในระดับเวทีโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอื่น ๆ และสินทรัพย์ที่อยู่ในตลาดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ทั้งการขยับตัวของธนาคารกลาง นโยบายของรัฐบาล และการรายงานของดัชนีชี้วัดทางเศรษฐกิจต่าง ๆ นั้น ส่งผลสัมพันธ์กับเศรษฐกิจของประเทศไทยแทบทั้งสิ้น เช่นในตอนนี้ ค่าเงินบาทของไทยเกิดการแข็งค่ามากที่สุดในรอบ 4 ปี จากอิทธิพลของเศรษฐกิจของสหรัฐและตลาดทองคำ ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่ลดลง โดยเฉพาะในภาคธุรกิจและภาคการส่งออก
ในช่วงเดือนแรกของต้นปี 2568 ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทยังอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ 34.32 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แข่งค่าขึ้นเกือบ 3% เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว แต่ไม่เพียงแค่นั้น หากนับทั้งช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ค่าเงินบาทมีทิศทางแข็งค่าขึ้นถึง 4.7% และมีความผันผวนที่สูงขึ้นเฉลี่ยถึง 9% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 15 ปี จากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐที่ผ่านมา ที่เกิดการเคลื่อนย้ายของเงินทุนต่างประเทศ โดยแม้ว่าเงินทุนต่างชาติจะไหลโฟลว์เข้ามาลงทุนในตลาดตราสารหนี้ และตลาดหุ้นไทยมากขึ้น แต่ก็กระทบธุรกิจที่มีรายได้จากต่างประเทศและภาคการส่งออกเข้าเต็ม ๆ
และมาในช่วงเวลานี้ ค่าเงินบาทยังมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อ โดยในเดือนกันยายน 2568 ค่าเงินบาทไต่ระดับสูงสุดที่ 31.70 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นระดับที่แข็งค่าที่รุนแรงที่สุดในรอบ 4 ปี โดยเป็นผลมาจากสถานการณ์ของตลาดแรงงานสหรัฐที่มีทิศทางที่อ่อนแอลง ซึ่งด้วยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคการเกษตรสหรัฐ หรือ Nonfarms Payrolls ของเดือนสิงหาคม ลดลงมาน้อยกว่าที่คาดการณ์ค่อนข้างมาก (คาดการณ์ที่ 75,000 ตำแหน่ง แต่ตัวเลขจริงเหลือเพียง 22,000 ตำแหน่ง) ทำให้ตลาดยิ่งมั่นใจว่าธนาคารกลาง สหรัฐ หรือ Fed จะมีการลดดอกเบี้ยลงในการประชุมเดือนกันยายนนี้ และจะลดลงถึง 3 ครั้งในปีนี้ และลากยาวไปถึงปี 2569 อีก 3 ครั้ง เพื่อโอบอุ้มเศรษฐกิจสหรัฐไม่ให้ชะลอตัวลงมากเกินไปจากความผิดปกติของตลาดแรงงาน
โดยเมื่อทิศทางการลดดอกเบี้ยของ Fed คาดว่าจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ก็ทำให้เงินลงทุนนั้นไหลออกจากดอลลาร์สหรัฐ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐจึงลดลง และด้วยกลไกของตลาดการเงิน ก็ทำให้ราคาทองคำที่ผกผันกับดอลลาร์ของสหรัฐพุ่งสูงขึ้น โดยราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นทันทีจากแรงซื้อของนักลงทุนและธนาคารกลางของประเทศต่าง ๆ และยิ่งดูจากบริบทสถานการณ์ของปัจจุบัน ที่ประกอบด้วยสงครามความขัดแย้งระดับโลก รวมไปถึงความกังวลของการควบคุม Fed ของรัฐบาลทรัมป์ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพของ Fed ทิศทางของราคาทองคำ ที่วิเคราะห์จาก Goldman Sachs ก็มีความเป็นไปได้ว่า ราคาทองคำในตลาดโลกจะขยับขึ้นไปถึง 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ ภายในกลางปี 2569 และในกรณีร้ายแรงกว่านั้น อาจพุ่งขึ้นสูงถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ/ออนซ์ หรือราว 76,500 บาท/ทองคำ 1 บาทของไทยเลยทีเดียว
โดยราคาทองคำนั้น กระทบต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทโดยตรง เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการซื้อทองคำในระดับสูง เมื่อผนวกกับโฟลว์เงินลงทุนที่ไหลจากดอลลาร์สหรัฐมาสู่ประเทศเศรษฐกิจใหม่ ก็ทำให้ค่าเงินบาทอยู่ในทิศทางที่แข็งค่าขึ้นอย่างเช่นปัจจุบันนี้ โดยผลเสียหรือผลกระทบทางลบที่จะเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจในประเทศไทยเลยก็คือภาคการท่องเที่ยว เพราะต้นทุนการท่องเที่ยวสูงขึ้นในสายตานักท่องเที่ยวต่างชาติ ส่งผลต่อการตัดสินใจมาเที่ยวไทยที่ลดลง ซึ่งแน่นอนว่ากระทบกับเศรษฐกิจในประเทศที่พึ่งพาการบริโภคจากภายนอกเข้าเต็ม ๆ ทั้งธุรกิจร้านอาหาร โรงแรม และภาคการบริการ รวมถึงการขนส่งต่าง ๆ มีรายได้ที่ลดน้อยถอยลง และลุกลามต่อไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่มีรายได้จากต่างประเทศ และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญก็จะมีขีดความสามารถที่ลดน้อยลง จากราคาและต้นทุนที่แพงขึ้นเมื่อค่าเงินบาทมีการแข็งค่า
ส่วนแนวทางการแก้ไขในระดับภาคธุรกิจเอกชนด้วยกันเอง ก็เป็นในเรื่องของการแลกเงินเอาไว้ล่วงหน้า หรือการเปิดบัญชีเงินฝากสกุลต่างประเทศเอาไว้เพื่อลดความเสี่ยงด้านค่าเงิน แต่ส่วนของทางภาครัฐ คงต้องมีการพิจารณามาตรการที่เหมาะสมอย่างเร่งด่วน เพื่อดูแลค่าเงินบาทให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและไม่ขัดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยที่กำลังรับภาระหนักในปัจจุบัน
ข่าวเด่น