แบงก์-นอนแบงก์
ทีทีบี ฟินทิป ชวนรู้จัก "บัตรเดบิต" กับ "บัตรเอทีเอ็ม" ต่างกันอย่างไร?


ในยุคสังคมไร้เงินสด ผู้คนต่างพากันใช้บัตรเดบิต บัตรเอทีเอ็ม และบัตรเครดิต เพื่อความสะดวกสบายในการทำธุรกรรม ทั้งการเบิกเงินสดหรือการโอนเงินเพื่อซื้อสิ่งของที่จำเป็น เพื่อใช้แทนการพกเงินสดจำนวนมาก แต่การมีบัตรหลายประเภทก็ทำให้หลายคนเกิดความสับสนว่า บัตรเดบิตกับบัตรเอทีเอ็มต่างกันอย่างไร หรือบัตรเดบิตกับบัตรเครดิต ต่างกันอย่างไร? วันนี้ fintips by ttb #เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ จึงชวนมาทำความรู้จักให้ชัด ว่าแต่ละบัตรมีการใช้งานอย่างไรให้ถูกประเภทและคุ้มค่า

 
ทำความรู้จักแต่ละบัตรให้ชัดเจนว่าใช้งานอย่างไร?

1. บัตรเอทีเอ็ม : ออกโดยธนาคาร ใช้ทำธุรกรรมทางการเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม ได้แก่ เบิกเงินสด โอนเงิน และเช็กยอดเงิน ข้อดีคือ สะดวกและรวดเร็ว แต่รูดซื้อสินค้าไม่ได้ ซึ่งบัตรมีวันหมดอายุตามที่ระบุไว้หน้าบัตร โดยผู้ถือบัตรต้องไปทำการเปลี่ยนบัตรใหม่ที่ธนาคาร ส่วนวิธีใช้งานบัตรเอทีเอ็ม มีดังนี้

· เบิกเงินสด : นำบัตรเอทีเอ็มไปสอดเข้าตู้เอทีเอ็ม แล้วป้อนรหัสผ่าน เพื่อเบิกเงินสดตามที่ต้องการ

· ตรวจสอบยอดเงิน : สามารถตรวจสอบยอดเงินคงเหลือในบัญชีผ่านตู้เอทีเอ็มได้

2. บัตรเดบิต : บัตรเอทีเอ็มกับบัตรเดบิตเหมือนกันไหม? หลายคนอาจเคยได้ยินมาว่าบัตรเดบิตคือบัตรเอทีเอ็ม แต่จริง ๆ แล้วบัตรเดบิตไม่ใช่บัตรเอทีเอ็มเสียทีเดียว โดยบัตรเดบิตเป็นบัตรที่เชื่อมโยงกับบัญชีเงินฝากของเรา เมื่อเราใช้จ่ายผ่านบัตรเดบิต เงินจะถูกหักออกจากบัญชีทันที ข้อดีคือสะดวก เบิกเงินได้ สามารถใช้จ่ายผ่านหลากหลายช่องทาง ส่วนข้อจำกัดคือสามารถใช้จ่ายได้เท่ากับจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีเท่านั้น ซึ่งวิธีใช้เป็นดังนี้

· รูดซื้อสินค้า : สามารถนำบัตรเดบิตไปรูดซื้อสินค้าหรือบริการได้ตามปกติ

· เบิกเงินสด : นำบัตรเดบิตไปเบิกเงินสดจากตู้เอทีเอ็มได้

· ชำระค่าบริการ : ใช้ชำระค่าสินค้าหรือบริการผ่านช่องทางออนไลน์ได้

3. บัตรเครดิต : เป็นบัตรที่ธนาคารให้เรานำเงินอนาคตออกมาใช้ก่อน แล้วค่อยชำระคืนในภายหลัง ซึ่งสะดวกในการใช้จ่าย และผ่อนชำระได้ อีกทั้งมีโปรโมชันมากมาย แต่ต้องชำระค่าใช้จ่ายคืนตามกำหนด หากชำระไม่ตรงเวลาจะมีดอกเบี้ยเกิดขึ้น มีวิธีใช้งานดังนี้

· รูดซื้อสินค้า : สามารถนำบัตรเครดิตไปรูดซื้อสินค้าหรือบริการได้

· ผ่อนชำระสินค้า : มีร้านค้ามากมายที่สามารถใช้บัตรเครดิตผ่อนชำระสินค้า ดอกเบี้ย 0%

· เบิกเงินสด : สามารถเบิกเงินสดได้ แต่ต้องระวังเรื่องค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม

 
 
สรุปให้แล้วแต่ละบัตรต่างกันอย่างไร? และเหมาะกับใคร!

แม้ว่าจะรู้จักรายละเอียดของแต่ละบัตรกันอย่างดีแล้ว แต่หลายคนอาจจะยังสับสนว่าบัตรเดบิตกับบัตรเอทีเอ็มต่างกันอย่างไร และบัตรเครดิตกับบัตรเอทีเอ็มเหมือนกันไหม? โดยสรุปพบว่าต่างกัน ดังนี้

การใช้งาน

· บัตรเครดิต : ใช้ซื้อสินค้าและบริการทั้งในร้านค้าออนไลน์และออฟไลน์ โดยการใช้วงเงินจากธนาคาร แล้วค่อยชำระคืนในภายหลัง

· บัตรเดบิต : ใช้ซื้อสินค้าและบริการ หรือถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม โดยจะถูกหักเงินจากบัญชีเงินฝากทันที อีกทั้งปัจจุบันยังมีวิธีการใช้บัตรเดบิตออนไลน์ที่ทำให้เราสะดวกมากยิ่งขึ้น

· บัตรเอทีเอ็ม : ใช้ถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม และตรวจสอบยอดเงินในบัญชี

การชำระเงิน

· บัตรเครดิต : ชำระเงินคืนตามรอบบิลที่กำหนด ซึ่งอาจมีการผ่อนชำระตามความสะดวก

· บัตรเดบิต : ไม่มีการผ่อนชำระ เนื่องจากเป็นการใช้เงินที่มีในบัญชีเพียงเท่านั้น

· บัตรเอทีเอ็ม : ไม่สามารถใช้ในการชำระสินค้าและบริการได้

การคิดดอกเบี้ย

· บัตรเครดิต : หากไม่ชำระเต็มจำนวนในช่วงเวลาที่กำหนด จะมีการคิดดอกเบี้ยตามอัตราที่ธนาคารกำหนด

· บัตรเดบิต : ไม่มีการคิดดอกเบี้ย เนื่องจากการใช้เงินที่มีในบัญชีเพียงเท่านั้น ซึ่งเป็นหนึ่งในความต่างของบัตรเดบิตและบัตรเครดิต

· บัตรเอทีเอ็ม : ไม่มีการคิดดอกเบี้ยเนื่องจากเป็นการใช้เงินที่มีในบัญชีเพื่อการถอนเงินเท่านั้น

สิทธิประโยชน์

· บัตรเครดิต : มักมีสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม เช่น คะแนนสะสม ส่วนลดพิเศษ และประกันการเดินทาง

· บัตรเดบิต : รูดใช้จ่ายได้เช่นกัน และในปัจจุบันสิทธิประโยชน์เทียบเท่ากับบัตรเครดิตแล้ว

· บัตรเอทีเอ็ม : ไม่มีสิทธิประโยชน์พิเศษ และไม่สามารถใช้ซื้อของหรือการทำธุรกรรมออนไลน์

เอกสารที่ต้องใช้สมัครบัตรต่าง ๆ มีอะไรบ้าง

การสมัครบัตรต่าง ๆ ต้องใช้เอกสารประกอบ เพื่อยืนยันตัวตนและข้อมูลส่วนบุคคลของผู้สมัคร ซึ่งเอกสารที่ต้องใช้ในการสมัครบัตรแต่ละประเภทอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับธนาคารและประเภทของบัตรที่ต้องการสมัคร ไปดูกันว่าเอกสารที่ใช้แตกต่างกันอย่างไร

1. บัตรเครดิต : ใช้เอกสารที่เยอะมากกว่าบัตรอื่น เพื่อตรวจสอบประวัติทางการเงินและยืนยันตัวตน โดยบนบัตรเครดิตและบัตรเดบิตจะมี Card Verification Value หรือ CVC เป็นรหัสความปลอดภัยปรากฏอยู่ เพื่อยืนยันตัวตนในการทำธุรกรรมออนไลน์ ซึ่งเอกสารที่ใช้มีดังนี้ บัตรประชาชน สลิปเงินเดือนอย่างน้อย 3 เดือนล่าสุด หรือหนังสือรับรองเงินเดือน รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลัง 3-6 เดือน และเอกสารยืนยันรายได้อื่น ๆ เช่น รายได้จากการเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือการลงทุน

2. บัตรเดบิต : ใช้หลักฐานเป็นเงินที่มีอยู่ในบัญชีโดยตรง โดยชื่อของผู้สมัครมักจะอยู่ด้านหน้าของบัตร เหนือหมายเลขบัตร ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชื่อที่ใช้ในการเปิดบัญชีธนาคาร เอกสารที่ใช้คือ บัตรประชาชน และสมุดบัญชีธนาคาร

3. บัตรเอทีเอ็ม : ขั้นตอนการสมัครจะเน้นที่การเข้าถึงบัญชีเงินฝาก เพื่อถอนเงินหรือทำธุรกรรมอื่น ๆ เอกสารจะใช้เพียงบัตรประชาชน และสมุดบัญชีธนาคาร

บัตรเดบิตกับบัตรเอทีเอ็มแบบไหนที่ใช่สำหรับลูกค้าธนาคาร

บัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มแม้จะมีความคล้ายคลึงกัน แต่รายละเอียดการใช้งานจะต่างกัน หากต้องการบัตรที่ใช้สำหรับกดเงินสดเป็นหลัก เลือกใช้บัตรเอทีเอ็มก็เพียงพอแล้ว และหากต้องการบัตรที่ใช้จ่ายได้หลากหลาย

และควบคุมการเงินได้ดี บัตรเดบิตเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า สำหรับใครที่ยังไม่รู้ว่าจะสมัครบัตรกับธนาคารไหนดี บัตรเดบิต ttb all free เป็นหนึ่งตัวเลือกที่ดี เพราะไม่เสียค่าธรรมเนียมทุกการกด โอน จ่าย เติม ทุกตู้เอทีเอ็ม สามารถใช้จ่ายได้สะดวกทุกที่ ทุกเวลาทั่วโลก และมีสิทธิประโยชน์ที่คุ้มค่าทุกการใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็น

· ใช้จ่ายต่างประเทศ ฟรี FX Rate 2.5% ใช้จ่ายได้ทุกสกุลเงิน ทั่วโลก

· ส่วนลดสูงสุด 20% จากร้านอาหาร และจองที่พักชั้นนำทั่วประเทศ (เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด)

· ฟรี DCC 1% ค่าธรรมเนียมเปลี่ยนแปลงสกุลเงินไทย

มาถึงตรงนี้คงทราบถึงประโยชน์ของแต่ละบัตรกันอย่างละเอียดแล้ว ทีนี้ก็สามารถเลือกใช้งานได้อย่างคุ้มค่า และเลือกใช้ให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะสายกด สายรูด หรือสายช้อปออนไลน์ เพื่อให้มีชีวิตทางการเงินสะดวก สบายและคุ้มค่ากับทุกการใช้จ่าย

คลิกเพื่ออ่านบทความฉบับเต็มได้ที่ https://www.ttbbank.com/th/fin-tips/detail/deposits-debit-vs-atm-card หรือ ติดตามเคล็ดลับการเงินอื่น ๆ จาก “fintips by ttb” เรื่องเงินที่รู้จริงแบบเพื่อนที่รู้ใจ คลิก https://www.ttbbank.com/link/fintips-pr

#fintipsbytttb #ทีทีบีฟินทิป

#ให้ชีวิตการเงินดีทั้งวันนี้และอนาคต

#เปลี่ยนเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น #ttb #MakeREALChange

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 ก.ย. 2568 เวลา : 11:14:34
17-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 17, 2025, 6:16 pm