เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Special Report : เงินเฟ้อในสหรัฐ อาจกลับมาอีกครั้ง กระตุ้นวิกฤตการเงินโลก


 

สำหรับดัชนีราคาผู้บริโภคสหรัฐ หรือ CPI ที่ออกมาล่าสุดนี้อยู่ที่ 2.9% ซึ่งสูงที่สุดในรอบ 7 เดือนนั้น เป็นตัวสะท้อนของปัญหาเงินเฟ้อที่สหรัฐยังไม่สามารถก้าวข้ามผ่านไปได้ ขณะที่ความกังวลต่อสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยังคงดำเนินต่อไป จากการเสียสมดุลในตลาดแรงงานสหรัฐและผลกระทบของนโยบายภาษีนำเข้าที่กำลังจ่อคิวเกิดขึ้นในอนาคต ทำให้เกิดความสุ่มเสี่ยงต่อตลาดการเงินที่อาจแปรปรวนจากต้นกำเนิดของสหรัฐและลุกลามเป็นวิกฤตไปทั่วโลก
 
ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่เป็นตัวชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐประจำเดือน ส.ค. 2568 ได้ออกมาตามการคาดการณ์ที่ 2.9% เพิ่มขึ้น 0.3% เมื่อเทียบรายเดือน และเป็นการไต่ระดับขึ้นสูงตั้งแต่เดือนมิ.ย. อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 7 เดือนอีกด้วย โดยตัวเลขเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นนี้มาจากผลของนโยบายภาษีนำเข้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่กำลังทยอยสำแดงผลออกมา จากการที่ภาคธุรกิจในสหรัฐได้นำสินค้าคงคลังที่ยังไม่โดนภาษีเรียกเก็บออกมาขายจนหมด ทำให้ต้องมีการนำเข้าสินค้าด้วยการเสียภาษีในอัตราที่สูงขึ้นตามนโยบาย ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นตาม รวมถึงการกวาดล้างผู้อพยพผิดกฎหมายของทรัมป์ ส่งผลเสียต่อต้นทุนสินค้าให้ปรับสูงเพิ่มขึ้นอีก รวมถึงประเด็นการเสียสมดุลของตลาดแรงงานสหรัฐ ซึ่งเป็นผลทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเกิดการชะลอตัว
 
และอย่างที่รู้กันดีว่า ปัจจัยของนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed ขึ้นอยู่กับตัวเลขเงินเฟ้อ และสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน โดยล่าสุดจากสภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐที่มีความสุ่มเสี่ยง ทำให้ท่าทีของ Fed นั้นเปลี่ยนแปลงไปโดยเห็นความหวังว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. นี้ และแม้เงินเฟ้อจะเพิ่มสูงขึ้น แต่ตลาดก็มีการคาดการณ์ว่าไม่ได้รุนแรงจนขัดขวางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในครั้งนี้ แต่ปัญหาก็คือตอนนี้สหรัฐเกิดสภาวะที่เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว จากการจ้างงานที่ไม่ขยาย และรายได้ของประชาชนชาวอเมริกาไม่โต แต่เงินเฟ้อกลับยังอยู่ในระดับสูง ที่สินค้าและบริการกำลังขึ้นราคา (โดยกลไกปกติเมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เงินเฟ้อจะลดลงตามเพราะความต้องการซื้อน้อยลง) 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันนี้เรียกว่า สภาวะ Stagflation ที่ราคาสินค้าแพงขึ้นแม้ความต้องการไม่โต ขณะเดียวกันก็เกิด Supply Shock จากนโยบายภาษีของทรัมป์ที่ทำให้การค้าทั่วโลกเกิดความแปรปรวน โดยผลกระทบก็คือ คนทั่วไปเจอปัญหารายได้ไม่เพิ่ม แต่ค่าครองชีพสูงขึ้น ซึ่งในแง่มุมของ Fed ก็ถือได้ว่ารับศึกหนัก เพราะอย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถจะขึ้นดอกเบี้ยให้สูงขึ้นกว่านี้เพื่อกดดันเงินเฟ้อได้อีกแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐจะยิ่งชะลอหนักกว่าเดิม แต่ถ้าเริ่มปรับลดดอกเบี้ยพยุงเศรษฐกิจ ก็อาจทำให้สหรัฐเกิด Hard Landing เนื่องจากเงินเฟ้อเสี่ยงพุ่งสูงขึ้นไปอีก โดยเศรษฐกิจสหรัฐที่เป็นใจกลางโลก และมีอิทธิผลต่อตลาดการเงินและตลาดสินทรัพย์ทุกการขยับตัวอยู่แล้ว เช่น ในเรื่องของที่แพงขึ้น อย่างผลิตภัณฑ์กาแฟจากการที่สหรัฐเรียกเก็บบราซิลในอัตราภาษี 50% ก็ส่งผลให้ราคากาแฟแพงขึ้นทั่วโลก (เพราะแย่งกันซื้อจากแหล่งผลิตประเทศอื่น ส่วนบราซิลก็ไม่สามารถกระจายกาแฟไปยังตลาดทดแทนประเทศอื่นได้รวดเร็วพอ เนื่องจากข้อจำกัดด้านโลจิสติกส์ของประเทศ) หรือการที่สหรัฐเรียกเก็บภาษีกับอินเดียถึง 50% เพื่อลงโทษที่อินเดียซื้อน้ำมันจากรัสเซีย ก็ทำให้ราคาสินค้าที่เกี่ยวข้องเกิดการแปรปรวนเช่นกัน
 
และตอนนี้ในช่วงที่ดอลลาร์มีแนวโน้มอ่อนค่า ทำให้ค่าเงินของประเทศในแถบเอเชียล้วนแข็งค่าขึ้นรวมถึงประเทศไทย ซึ่งเห็นได้ว่ามันเป็นไปตามปัจจัยภายนอก โดยที่ถ้าหากเศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง ก็แน่นอนว่าจะทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกเกิดวิกฤตตามไปด้วย ซึ่งทาง GoldmanSachs เองก็ได้ออกมาเตือนว่าสหรัฐอาจเข้าสู่วิกฤตเศรษฐกิจ จากที่ตลาด Private Credit ที่มี Leverage สูง แต่ความโปร่งใสต่ำ ส่วนทาง JPMorgan ก็กล่าวว่า เงื่อนไขเศรษฐกิจภายในประเทศสหรัฐฯ อาจเสื่อมลง ถ้าอัตราดอกเบี้ยกับหนี้สาธารณะสูงไม่ถูกจัดการให้ดี ขณะที่ Ray Dalio ผู้ก่อตั้ง Bridgewater Associates เตือนว่า มีบางสิ่งที่แย่กว่าการถดถอยรออยู่ข้างหน้า โดยมีสาเหตุจากหนี้ที่เพิ่มขึ้น, ความไม่แน่นอนทางการเมือง, และนโยบายการค้าที่เสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 17 ก.ย. 2568 เวลา : 17:57:51
18-09-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ September 18, 2025, 5:06 am