การค้า-อุตสาหกรรม
'วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านม่วงคำ' จ.เชียงใหม่ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ ยกระดับความยั่งยืนสู่ชุมชน สร้างรายได้กว่า 6.1 ล้านบาท/ปี


 
นางสุจารีย์ พิชา ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ 1 เชียงใหม่ (สศท.1) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) เปิดเผยว่า จังหวัดเชียงใหม่ นับเป็นหนึ่งในพื้นที่นำร่องด้านการท่องเที่ยวเชิงเกษตรของประเทศไทย ด้วยภูมิประเทศ  ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ส่งผลให้มีศักยภาพในการผลิตสินค้าเกษตรคุณภาพสูง ทั้งพืชผัก ผลไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ และพืชเศรษฐกิจหลากหลายชนิด พัฒนาไปสู่การเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงเกษตรที่มีเอกลักษณ์ หนึ่งในต้นแบบความสำเร็จ คือ วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านม่วงคำ ตำบลโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่มุ่งเน้นการผลิตสินค้าเกษตรอินทรีย์ควบคู่กับการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนในรูปแบบชุมชนโลว์คาร์บอนด์ สามารถคว้ารางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย Thailand Tourism Awards ครั้งที่ 15 ประจำปี 2568 สาขารางวัลแห่งความยั่งยืน (Thailand Tourism Sustainability) ซึ่งจัดขึ้นโดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา

 
 
จากนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งยกระดับสินค้าเกษตรและบริการมูลค่าสูง และการจัดการทรัพยากรการเกษตรอย่างใส่ใจสิ่งแวดล้อม สศท.1 จึงได้ศึกษาแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ปี 2568 โดยลงพื้นที่วิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านม่วงคำ เพื่อศึกษารูปแบบและจัดทำแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์เพื่อการท่องเที่ยวเชิงเกษตร โดยสัมภาษณ์นางณัฎฐ์จรรษ์ ไชยราษฎร์ ประธานวิสาหกิจฯ ให้ข้อมูลว่า บ้านม่วงคำเป็นชุมชนเก่าแก่กว่า 200 ปี มีรากฐานการทำเกษตรแบบดั้งเดิมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็ง โดยในปี 2550 ได้เริ่มต้นทำฟาร์มวนเกษตรและก่อตั้งโป่งแยงฟาร์ม และต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงเกษตรร่วมกับชุมชน ก่อนจดทะเบียนเป็นวิสาหกิจชุมชนอย่างเป็นทางการในปี 2562 ปัจจุบันวิสาหกิจฯ มีสมาชิก 30 ราย พื้นที่ทำเกษตรอินทรีย์แบบผสมผสานรวมกว่า 30 ไร่ผลิตพืชผักและไม้ผล เช่น คะน้า เคล มะเขือเทศ แมคคาเดเมีย และอะโวคาโด ผ่านการรับรองมาตรฐานเกษตรอินทรีย์แบบมีส่วนร่วม (PGS) ด้านสถานการณ์ผลิตและตลาดสินค้าอินทรีย์ของวิสาหกิจฯ พบว่า เกษตรกรจะปลูกไม้ผลและพืชผักอินทรีย์สับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดปี ทำให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดทุกเดือนประมาณ 2,000 กิโลกรัม/เดือน ราคาจำหน่ายอยู่ระหว่าง 50 - 100 บาท/กิโลกรัม สำหรับช่องทางการจำหน่ายสินค้า แบ่งเป็น ธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในพื้นที่ ร้อยละ 30 , ลูกค้าประจำทั้งขายปลีกขายส่ง ร้อยละ 40 , การออกบูธ ร้อยละ 15 และนำไปประกอบอาหารให้กับนักท่องเที่ยว ร้อยละ 15 ซึ่งจากการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ทำให้เกษตรกรสมาชิกมีรายได้เฉลี่ย 13,000 บาท/เดือน

 
 
 
วิสาหกิจฯ ดำเนินกิจกรรมตามแนวทางการพัฒนาเกษตรอินทรีย์ โดยพัฒนาพื้นที่เป็นโฮมสเตย์ที่ได้รับมาตรฐานโฮมสเตย์อาเซียน (ASEAN Homestay Standard) โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วม สร้างรายได้ให้คนในชุมชนผ่านการถ่ายทอดวิถีชีวิต วัฒนธรรม และองค์ความรู้ด้านการเกษตร การท่องเที่ยวในพื้นที่ดำเนินตามแนวคิด “การท่องเที่ยวแบบคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Travel)  และ Zero Waste” โดยเน้นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขยะให้เหลือน้อยที่สุด หรือเป็นศูนย์ เช่น การท่องเที่ยวโดยใช้รถโดยสารของชุมชน การรับประทานอาหารจากผลผลิตอินทรีย์ การใช้พลังงานสะอาดในที่พัก และการแปรรูปของเสียจากอาหารเป็นปุ๋ยหมัก โดยมีโป่งแยงฟาร์มเป็นศูนย์กลางกิจกรรมและแหล่งเรียนรู้ด้านวนเกษตรอินทรีย์ สำหรับโปรแกรมการท่องเที่ยวมี 2 รูปแบบ ได้แก่ โปรแกรมครึ่งวัน ราคา 750 บาท/ราย และโปรแกรม 2 วัน 1 คืน ราคา 1,800 บาท/ราย นักท่องเที่ยวจะได้ร่วมกิจกรรม Workshop และการถ่ายทอดความรู้ อาทิ ชมแปลงผักอินทรีย์ ชมศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ร่วมทำอาหารจากผลผลิตอินทรีย์ ร้อยสร้อยจากลูกแมคคาเดเมีย จักสาน และทำเทียนไหว้พระจากขี้ผึ้งธรรมชาติ ซึ่งในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวประมาณ 2,000 คน เข้าร่วมกิจกรรม เรียนรู้วิถีเกษตรอินทรีย์ แวะเที่ยวคาเฟ่ หรือ แวะพักที่โฮมสเตย์ในช่วงที่มีการจัดงานคอนเสิร์ต ทั้งนี้ รายได้รวมจากการผลิตและจำหน่ายสินค้าเกษตรอินทรีย์ การท่องเที่ยววิถีเกษตร รวมถึงการจ้างงานในชุมชน สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจในชุมชนไม่ต่ำกว่า 6.1 ล้านบาท/ปี
 

 
 
 
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนวิสาหกิจฯ ได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากทั้งภาครัฐและเอกชนในพื้นที่ ทั้งด้านปัจจัยการผลิต องค์ความรู้ การบริหารจัดการ สร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนการพัฒนาและเชื่อมโยงตลาด ซึ่งในส่วนของ สศท.1 ได้ลงพื้นที่จัดทำข้อมูลแนวทางการพัฒนาเพื่อให้เกษตรกรและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและจัดทำโครงการที่ตอบโจทย์ความต้องการของพื้นที่ได้อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืน ควรมีการประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง โดยใช้ Soft Power และ Storytelling ถ่ายทอดอัตลักษณ์ชุมชนผ่านช่องทางต่าง ๆ พร้อมทั้งเชื่อมโยงกับแนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวของ ททท. ที่มุ่งสร้างประสบการณ์ท่องเที่ยวเชิงคุณค่าและความยั่งยืน แนวทางดังกล่าวจะช่วยเปิดโอกาสทางเศรษฐกิจ ยกระดับรายได้ให้เกษตรกรและชุมชน พร้อมทั้งรักษาสมดุลของธรรมชาติและวิถีชีวิตท้องถิ่นอย่างยั่งยืนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นางณัฎฐ์จรรษ์ ไชยราษฎร์ ประธานวิสาหกิจชุมชนการท่องเที่ยวเชิงเกษตรบ้านม่วงคำ โทร 09 5691 0707 Facebook : Muang Kham Zero Waste และ Pong Yang Farm หรือ สอบถามข้อมูลผลการศึกษา ได้ที่ สศท.1 โทร 053 121 318 หรืออีเมล zone1@oae.go.th        
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 29 ก.ย. 2568 เวลา : 18:05:29
03-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 3, 2025, 6:30 am