เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "ตลาดแรงงานไทย : ความเปราะบางภายใต้ตัวเลขว่างงานที่ดูแข็งแรง"


เศรษฐกิจไทยโตต่ำต่อเนื่อง ตลาดแรงงานไทยเริ่มออกอาการอ่อนแอ 

แม้อัตราการว่างงานไทยจะปรับลดลงเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 จากสูงสุด 2.25% ในช่วง Q3/2021 มาอยู่ที่ราว 1% ตั้งแต่ปี 2023 ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยก่อนโควิดได้แล้ว แต่ภาพรวมเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำต่อเนื่องนาน เริ่มส่งผลให้ตลาดแรงงานไทยอ่อนแอภายในชัดเจนขึ้น สะท้อนจากข้อมูลอัตราการว่างงานบางกลุ่มที่เริ่มปรับสูงขึ้น ขณะที่ข้อมูลการจ้างงานบางกลุ่มเริ่มปรับแย่ลง โดย (1) อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมสูงขึ้นอยู่ที่ 2.3% ในเดือน ก.ค. 2025 จาก 2.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 และเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 3 ปี (2) อัตราการว่างงานแรงงานอายุน้อย (15-24 ปี) สูงขึ้นอยู่ที่ 5.9% ณ Q2/2025 สูงสุดตั้งแต่ปี 2023 โดยเฉพาะอัตราการว่างงานแรงงานกลุ่มนี้ที่จบปริญญาตรีขึ้นไปสูงถึง 18.9% ใน Q2/2025 เร่งตัวจาก 16.1% ใน Q1/2025  (3) ผู้มีงานทำลดลงต่อเนื่องสะสมกว่า 5 แสนคนเมื่อเทียบกับปี 2023 ซึ่งเป็นปีที่มีผู้มีงานทำสูงสุดเกือบ 40 ล้านคนหลังตลาดแรงงานฟื้นกลับมาจากโควิด และ (4) ชั่วโมงทำงาน Full-time และล่วงเวลา (OT) ปรับลดลง คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 2% ขณะที่ผู้ทำงานไม่เต็มเวลามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 8% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 จากปี 2024 อยู่ที่ 5.8% เมื่อเทียบกับผู้มีงานทำทั้งหมด
 
โควิด-19 สร้างแผลเป็นในตลาดแรงงาน ทั้งด้านรายได้และการเคลื่อนย้ายแรงงาน 
วิกฤตโควิด-19 ยังทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในตลาดแรงงานอยู่ เห็นได้จาก (1) รายได้ที่แท้จริง (รวม OT โบนัส) ฟื้นช้า ข้อมูล ณ Q2/2025 ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ปี 2019 อีกราว 1.2% สะท้อนว่ารายได้แรงงานที่แท้จริงยังไม่ฟื้นเต็มที่ (2) คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานแย่ลง สัดส่วนแรงงานทำงานนอกระบบมีทิศทางสูงขึ้น โดยในปี 2024 สัดส่วนนี้เพิ่มเป็น 52.8% ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอิสระ รายได้เฉลี่ยต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัวและรายได้ไม่แน่นอน เข้าถึงสิทธิสวัสดิการหรือหลักประกันทางสังคมไม่มากเท่า การฟื้นตัวของรายได้แรงงานกลุ่มนี้จึงช้ากว่า และมีผลโดยตรงต่อการฟื้นตัวของภาพรวมรายได้แรงงานไทยในช่วงที่ผ่านมาและในระยะข้างหน้า 
 
แรงงานไทย 5 ล้านคนเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงและอ้อมจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ 
SCB EIC ประเมินแรงงานไทยราว 5 ล้านคน (12% ของลูกจ้างทั้งหมด) เสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อมจากมาตรการกำแพงภาษีของสหรัฐฯ ผ่านการลดการจ้างงาน/ชั่วโมงทำงาน หากธุรกิจไทยแข่งขันในตลาด ทั้งในและต่างประเทศยากขึ้นจากเหตุการณ์นี้ อาจมีธุรกิจไทยที่จะได้รับผลกระทบทั้งทางตรงผ่านการส่งออกไปสหรัฐฯ หรือได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านกำลังซื้อโลกชะลอตัว สินค้าต่างประเทศตีตลาดรุนแรงขึ้น รวมถึงการเผชิญความเปราะบางในประเทศ ประเมินกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ยางพารา, สิ่งทอ, ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์, Electronic component และ Consumer electronics & HDD  สำหรับกลุ่มธุรกิจที่ประเมินว่ามีความเสี่ยงปานกลาง เช่น มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, ท่องเที่ยวและโรงแรม, ขนส่งและโลจิสติกส์ และค้าปลีก (สัดส่วนจ้างงานเกือบ 10% ของลูกจ้างทั้งหมด) 
 
ตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง กระทบความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้างหลายด้านที่ฉุดรั้งความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาวโดยเฉพาะ (1) ไทยเข้าสู่สังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ตั้งแต่ปี 2024 กำลังแรงงานลดลงต่อเนื่อง ขณะที่แรงงานรุ่นใหม่มีจำนวนไม่เพียงพอและยังขาดทักษะสอดคล้องกับความต้องการของตลาด (2) ผลิตภาพแรงงานลดลงต่อเนื่อง ข้อมูล OECD Productivity Statistics พบว่า ในช่วงปี 2020-2024 ผลิตภาพแรงงานไทยหดตัวเฉลี่ย 0.6% เทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 ที่เติบโตเฉลี่ยถึง 4% สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีอยู่เดิม และถูกซ้ำเติมด้วยผลกระทบจากโควิด-19 (3) การลงทุนทักษะแรงงานจากนายจ้างไม่ทั่วถึง ส่งผลให้แรงงานไม่มีโอกาสเรียนรู้หรือปรับตัวสู่ทักษะใหม่ที่จำเป็นในยุคดิจิทัลและเศรษฐกิจสีเขียว ขณะที่แรงงานขาดโอกาสและแรงจูงใจพัฒนาตนเอง โดยเฉพาะแรงงานนอกระบบ  
 
แรงงานไทยต้องใช้กลยุทธ์ “3 ปรับ” รับมือโจทย์ท้าทาย
แรงงานไทยต้องตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวที่อาจกระทบต่อรายได้และการจ้างงาน ทั้งจากสงครามการค้านอกประเทศและความท้าทายในประเทศเอง และเริ่ม “ 3 ปรับ” ช่วยรับมือความเสี่ยงข้างหน้า เพราะความช่วยเหลือจากมาตรการภาครัฐทางเดียวอาจไม่เพียงพอ ไม่ทั่วถึง และไม่ยั่งยืนเท่าการเริ่มสร้างภูมิคุ้มกันที่ตัวเอง โดย

(1) “ปรับทักษะ” มีมุมมองเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่ ใช้เทคโนโลยีเป็น (เช่น ดิจิทัล AI) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อมีทักษะใหม่พร้อมใช้ตามความต้องการของตลาดแรงงานทุกเมื่อ 

(2) “ปรับทัศนคติการเงิน” มีความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial resilience) จัดการบัญชีรายรับรายจ่าย สร้างรายได้หลายทาง มีวินัยการออมและชำระหนี้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงิน 

(3) “ปรับตัวทันโลก” ตามเทรนด์โลกและรูปแบบการทำงานใหม่ (Adaptability) ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เปิดรับรูปแบบการทำงานและค่านิยมใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน เรียนรู้ และเปิดใจรับโอกาสใหม่ เพื่อให้อยู่รอดได้ในตลาดแรงงานยุคใหม่ 

อัตราการว่างงานเป็นหนึ่งในเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยเพียงไม่กี่ตัวที่ฟื้นเร็วหลังวิกฤตโควิด-19 จากจุดสูงสุดที่ 2.25% ณ Q3/2021 เหลือ 0.9% ใน Q2/2025 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีก่อนโควิด-19 ที่ 1% ได้แล้ว ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนภาพตลาดแรงงานที่ดูเหมือนจะกลับมาเป็นปกติ แต่หากเจาะลึกลงไปจะพบว่า ตลาดแรงงานไทยเริ่มมีอาการอ่อนใน ซ่อนความเปราะบางหลายด้าน โดยเฉพาะตั้งแต่ต้นปี 2025 ทั้งการฟื้นตัวของรายได้ที่แท้จริง จำนวนผู้มีงานทำและชั่วโมงทำงานลดลง สัดส่วนคนทำงานไม่เต็มเวลามากขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นความเสี่ยงที่น่าจับตาภายใต้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่จะเติบโตต่ำต่อเนื่องนาน ผลจากความไม่แน่นอนสงครามการค้า และความอ่อนแอของอุปสงค์ในประเทศ
 
ตลาดแรงงานไทยส่งสัญญาณเปราะบางขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี 2025 

แม้อัตราการว่างงานไทย ณ Q2/2025 อยู่ในระดับต่ำใกล้ 1% แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยที่เติบโตต่ำต่อเนื่องนาน สาเหตุจากภาคการผลิตฟื้นช้า นักท่องเที่ยวต่างชาติหดตัวตั้งแต่ต้นปีนี้ และความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อการจ้างงาน โดยเฉพาะหลังปี 2024 เครื่องชี้ตลาดแรงงานเชิงลึกเริ่มส่งสัญญาณเปราะบางใน 3 มิติ  

1. อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม และอัตราการว่างงานกลุ่มอายุน้อย (15-24 ปี) เร่งตัวต่อเนื่อง

1.1 อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคม ม.33 หรือ ม.38  สูงสุดในรอบ 3 ปี อยู่ที่ 2.3% ในเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจาก 2.1% ในช่วงครึ่งแรกของปี โดยจำนวนผู้ขอรับผลประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานอยู่ที่ราว 2.75 แสนคน สูงสุดนับตั้งแต่ Q1/2022 และมีจำนวนผู้มีงานทำในระบบประกันสังคมราว 12.15 ล้านคน (รูปที่ 1)

1.2 อัตราการว่างงานแรงงานอายุน้อย (อายุ 15-24 ปี) สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2023 อยู่ที่ 5.9% ใน Q2/2025 
เร่งตัวเร็วจาก 5.3% ใน Q1/2025 (รูปที่ 2 ซ้าย) และอัตราการว่างงานแรงงานกลุ่มนี้ที่จบปริญญาตรีขึ้นไปสูงขึ้นอยู่ที่ 18.9% ใน Q2/2025 เร่งตัวจาก 16.1% ใน Q1/2025 (รูปที่ 2 ขวา) สะท้อนให้เห็นถึงการเข้าถึงตำแหน่งงานได้ยากขึ้นสำหรับแรงงานที่ขาดประสบการณ์ สอดคล้องกับงานศึกษาของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ใน Q4/2024 พบว่า จากประกาศรับสมัครงานออนไลน์ 23 เว็บไซต์ 221,339 ตำแหน่ง มีเพียง 1 ใน 5 ของตำแหน่งงานทั้งหมด หรือราว 22% เป็นตำแหน่งที่ไม่ต้องการประสบการณ์ทำงาน และมากกว่า 63% ต้องการผู้มีประสบการณ์ทำงานมาก่อน 

รูปที่ 1 : อัตราการว่างงานในระบบประกันสังคมเร่งตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง แตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ, สำนักงานประกันสังคม และ CEIC

รูปที่ 2 : อัตราการว่างงานของกลุ่มอายุน้อย (15-24 ปี) ที่จบปริญญาตรีขึ้นไปเร่งตัวขึ้น 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

2. ผู้มีงานทำลดลงต่อเนื่อง ล่าสุดหายไปถึง 5 แสนคนจากปี 2023
 
จำนวนผู้มีงานทำเริ่มปรับลดลงตั้งแต่ปี 2024 และต่อเนื่องช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยผู้มีงานทำในภาคเกษตรลดลง 231,230 คน ในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 สาเหตุหนึ่งอาจเกิดจากการย้ายไปทำงานในภาคเศรษฐกิจอื่นที่รายได้สูงกว่า และปัญหาภัยแล้งในช่วงปี 2024 ทำให้น้ำไม่พอเพาะปลูกพืชในหน้าแล้งและผลผลิตออกน้อย ความต้องการจ้างงานในภาคเกษตรจึงมีลดลง นอกจากนี้ จำนวนผู้มีงานทำในภาคอุตสาหกรรมปรับลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 ที่ 50,130 คน ซึ่งมีสาเหตุสำคัญจากภาคการผลิตที่ยังหดตัวและอุปสงค์ในประเทศที่ยังอ่อนแอ 
 
ในส่วนผู้มีงานทำในภาคบริการแม้ยังขยายตัวได้ต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 แต่เป็นการขยายตัวของในอัตราที่ลดลง และเป็นการลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2022 หลังผู้มีงานทำในภาคบริการขยายตัวสูงสุดภายหลังการระบาดของโควิด-19 เริ่มคลี่คลายทำให้มีแรงงานกลับมาทำงานมากขึ้น ส่งผลให้ในภาพรวมจำนวนผู้มีงานทำในตลาดแรงงานไทยลดลงมากถึงราว 5 แสนคนนับจากปี 2023 ที่ผู้มีงานทำอยู่ในระดับสูงสุดเกือบ 40 ล้านคน (รูปที่ 3)

รูปที่ 3 : การจ้างงานเริ่มปรับแย่ลงตั้งแต่ปี 2024 ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรม 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

3. ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยลดลงต่อเนื่อง และผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025
 
ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 ลดลงทุกภาคการผลิตหลัก (ภาคเกษตร ภาคอุตสาหกรรม และภาคบริการกลุ่มรายได้สูง/ต่ำ) โดยชั่วโมงทำงานเฉลี่ยโดยรวมอยู่ที่ 41.8 ชั่วโมง/สัปดาห์ ต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2019 ที่ 42.8 ชั่วโมง/สัปดาห์ สอดคล้องกับข้อมูลสัดส่วนผู้เสมือนว่างงาน  ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ที่เพิ่มขึ้นเป็น 8% จาก 5.8% ในปี 2024 (โดยเฉพาะใน Q1/2025 สัดส่วนผู้เสมือนว่างงานสูงถึง 11% สูงสุดในรอบ 4 ปี นับตั้งแต่ Q1/2021) แบ่งเป็นผู้เสมือนว่างงานในภาคเกษตร 3.6% และผู้เสมือนว่างงานนอกภาคเกษตร 4.4% ขณะที่สัดส่วนผู้ทำงานเต็มเวลาและผู้ทำงานล่วงเวลาปรับลดลง สัญญาณเหล่านี้สะท้อนว่า ภาคธุรกิจเริ่มลดการจ้างงาน ผ่านการลดชั่วโมงการจ้างงาน หรือเปลี่ยนรูปแบบการจ้างงาน จากรูปแบบงานประจำเป็นงานพาร์ตไทม์/งานชั่วคราว ส่งผลโดยตรงต่อรายได้แรงงานในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำ (รูปที่ 4)

รูปที่ 4 : ชั่วโมงทำงานเฉลี่ยปรับลดลง และผู้เสมือนว่างงานเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี 2025  
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

โควิด-19 สร้างแผลเป็นในตลาดแรงงาน ทั้งด้านรายได้และการเคลื่อนย้ายแรงงาน  

นอกจากสัญญาณการเร่งตัวของการว่างงานบางกลุ่ม คนมีงานทำลดลง และคนทำงานไม่เต็มเวลาลดลงตั้งแต่ปี 2024 ตลาดแรงงานไทยยังได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่ทิ้งรอยแผลเป็นไว้นานหลายปี โดยรายได้แรงงานยังฟื้นไม่เต็มที่และโครงสร้างตลาดแรงงานเคลื่อนย้ายไปทำงานนอกระบบมากขึ้น ยิ่งซ้ำเติมความเปราะบาง สะท้อนจาก 

1. รายได้แรงงานที่แท้จริงยังต่ำกว่าก่อนโควิด-19
รายได้แรงงานที่แท้จริงในภาพรวมฟื้นตัวช้าต่อเนื่อง (คำนวณจากรายได้รวม OT และโบนัสในรูป Nominal term ปรับด้วยผลของเงินเฟ้อ) ข้อมูล ณ Q2/2025 ยังต่ำกว่าระดับก่อนโควิด-19 ในปี 2019 ถึง 1.2% รายได้แรงงานไทยหักผลของเงินเฟ้อยังไม่ฟื้นจากช่วงโควิด-19 หลังเวลาผ่านมานานกว่า 5 ปี โดยเฉพาะภาคบริการรายได้สูง (ภาคบริการที่ลูกจ้างมีรายได้เฉลี่ยเกิน 17,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งรายได้แรงงานกลุ่มนี้ชะลอตัวต่อเนื่อง สำหรับภาคอุตสาหกรรม แม้รายได้แรงงานกลุ่มนี้ฟื้นตัวสูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 แล้ว แต่เห็นสัญญาณกลับมาชะลอตัวในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ 
 
สำหรับภาคเกษตร แม้รายได้ของแรงงานกลุ่มนี้ฟื้นตัวดี สูงกว่าระดับก่อนโควิด-19 มาก ส่วนหนึ่งเป็นผลจากในช่วงปี 2023-2024 ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้นจากเหตุภัยแล้ง และอินเดียระงับการส่งออกข้าวทำให้ราคาข้าวโลกสูงขึ้น 
 
แต่ในระยะข้างหน้าคาดว่า ราคาสินค้าเกษตรมีแนวโน้มหดตัวตามเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลงจากผลสงครามการค้า ค่าเฉลี่ยรายได้ที่แท้จริงของแรงงานภาคเกษตรอยู่ที่ 8,238 บาท/เดือน ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยรายได้แท้จริงในภาพรวมที่ 16,019 บาท/เดือนใน Q2/2025 ทำให้เห็นว่ารายได้แท้จริง (รวม OT โบนัส) ในระยะข้างหน้ายังคงมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง (รูปที่ 5)

รูปที่ 5 : รายได้แรงงานที่แท้จริง (รวม OT โบนัส) ยังต่ำกว่าก่อนวิกฤตโควิด-19
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

2. แรงงานนอกระบบมีสัดส่วนสูงขึ้น
แม้ภาพรวมการจ้างงานดีขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็วหลังโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่คุณภาพการเคลื่อนย้ายแรงงานกลับแย่ลง โดยแรงงานนอกระบบ (ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบอาชีพอิสระ หรือเป็นลูกจ้างในสถานประกอบการขนาดเล็กหรือ คนทำงานที่ไม่ได้อยู่ในระบบประกันสังคมตาม ม.33 และไม่มีสัญญาจ้างถาวร หรือไม่ได้รับสวัสดิการตามกฎหมายแรงงานกำหนด) มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2023 ประเทศไทยมีแรงงานนอกระบบมากถึง 21 ล้านคนในปี 2024 หรือคิดเป็น 52.8% ของแรงงานทั้งหมด (รูปที่ 6) ซึ่งแรงงานนอกระบบมีรายได้ต่ำกว่าแรงงานในระบบเกือบเท่าตัว และยังมีรายได้ที่ไม่แน่นอน ขาดการเข้าถึงสวัสดิการหรือหลักประกันทางสังคม ทำให้รายได้แรงงานกลุ่มนี้ฟื้นตัวช้า ส่งผลให้รายได้แรงงานในภาพรวมในระยะข้างหน้าจะยังขยายตัวต่ำ ท่ามกลางปัญหาหนี้ครัวเรือนสูงและเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง

รูปที่ 6 :  แรงงานนอกระบบมีสัดส่วนสูงขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

SCB EIC ประเมินแรงงานราว 5 ล้านคนเสี่ยงสูงที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่ 
แม้ไทยจะเจรจาขอลดอัตราภาษีตอบโต้กับสหรัฐฯ เหลือ 19% ใกล้เคียงคู่แข่งได้ และไทยยื่นข้อเสนอใหม่ที่คำนึงรูปแบบการเปิดตลาดเพิ่มเติมจากข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ โดยเฉพาะภาคเกษตร จะช่วยลดผลกระทบต่อการส่งออกไปตลาดสหรัฐฯ และลดความกังวลของเกษตรกรและผู้ประกอบการไทยจากการเปิดตลาดให้สหรัฐฯ ลงได้บ้าง แต่ในระยะข้างหน้ายังต้องจับตาความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกไทยที่ยังเผชิญแรงกดดันจากคู่แข่งที่เสียภาษีนำเข้าตลาดสหรัฐฯ ในอัตราแตกต่างกัน และเงินบาทแข็งค่าเร็วเทียบคู่แข่งสำคัญอาจเป็นอีกปัจจัยกดดันความสามารถในการแข่งขันของการส่งออกไทย 
 
แนวโน้มของภาคธุรกิจไทยโดยรวมยังมีความเสี่ยงอยู่มากจากความไม่แน่นอนในช่วงข้างหน้า โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่เน้นตลาดสหรัฐฯ รวมถึงความเสี่ยงเพิ่มเติมจาก (1) สินค้าส่งออกที่มี Import content สูง เสี่ยงจะถูกสหรัฐฯ เก็บภาษีสวมสิทธิเพิ่มเป็น 40% (2) การแข่งขันด้านราคาในตลาดสหรัฐฯ จะรุนแรงมากขึ้น กระทบ Margin ของผู้ประกอบการ และ (3) การรับมือปัญหา Import flooding และการปกป้องตลาดภายในประเทศทั่วโลกที่จะรุนแรงขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะมีแนวโน้มขยายตัวต่ำต่อเนื่อง และกระทบการจ้างงานของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 
ในภาพรวม SCB EIC ประเมินอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ได้แก่ ยางพารา, สิ่งทอ, ยางล้อและชิ้นส่วนยานยนต์, Electronic component, Consumer electronics & HDD, Home appliances, เหล็ก, กุ้ง, เม็ดพลาสติกและผลิตภัณฑ์พลาสติก, Power electronics และยานยนต์ (รูปที่ 7) โดยลูกจ้างในกลุ่มธุรกิจเสี่ยงสูงเหล่านี้ที่อาจได้รับผลกระทบราว 4.9 ล้านคน (หรือ 12.3% ของลูกจ้างทั้งหมด รายได้แท้จริง (รวมโบนัส OT)  เฉลี่ย 15,333 บาท/เดือน) และสำหรับกลุ่มธุรกิจที่จัดอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงปานกลาง ได้แก่ มันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, อาหารสัตว์เลี้ยง, อาหารปศุสัตว์, ยานยนต์เชิงพาณิชย์, จักรยานยนต์, ท่องเที่ยวและโรงแรม, อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย, อสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์, นิคมอุตสาหกรรม, ผู้ค้าเหล็ก, ขนส่งและโลจิสติกส์, ค้าปลีก, ผักผลไม้สดและแปรรูป และวัสดุก่อสร้าง 
โดยลูกจ้างอาจได้รับผลกระทบราว 3.9 ล้านคน (หรือเกือบ 10% ของลูกจ้างทั้งหมด รายได้แท้จริง (รวมโบนัส OT) เฉลี่ย 14,638 บาท/เดือน) 
 
ในภาพรวมลูกจ้างอาจได้รับผลกระทบจากกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและความเสี่ยงปานกลางรวมกว่า 8.7 ล้านคน (ราว 20% ของลูกจ้างทั้งหมด) ผ่านการถูกเลิกจ้าง ลดการจ้างงาน หรือลดชั่วโมงทำงาน หากเปรียบเทียบข้อมูลการจ้างงานในเดือน ก.ค. กับช่วง 6 เดือนแรกของปี 2025 เริ่มเห็นสัญญาณการเลิก/ลดการจ้างงานชัดเจนขึ้น โดยกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงจ้างงานลดลง 256,619 คน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยางพารา, สิ่งทอ, อาหารทะเล (กุ้ง) และยานยนต์ สำหรับกลุ่มธุรกิจที่มีความเสี่ยงปานกลางจ้างงานลดลง 470,852 คน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมมันสำปะหลัง, น้ำตาล, ปาล์มน้ำมัน, อาหารสัตว์เลี้ยง, ยานยนต์เชิงพาณิชย์, เหล็ก, ขนส่ง และโลจิสติกส์ (รูปที่ 8)

รูปที่ 7 : มาตรการภาษีของสหรัฐฯ เพิ่มความเสี่ยงต่อธุรกิจไทย ผ่านผลกระทบทางตรงและอ้อม 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

รูปที่ 8 : แรงงานราว 5 ล้านคนอยู่ในอุตสาหกรรมเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้ารอบใหม่
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

ตลาดแรงงานไทยยังมีข้อจำกัดเชิงโครงสร้าง กระทบความสามารถแข่งขันของประเทศในระยะยาว
ตลาดแรงงานไทยยังมีความท้าทายจากแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่จะส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ได้แก่

1. ปัญหาสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged society) ไทยเริ่มเข้าสู่สังคมสูงวัยตั้งแต่ปี 2005 และกลายเป็นประเทศสังคมสูงวัยโดยสมบูรณ์ (Aged society) ตั้งแต่ปี 2024 เนื่องจากสัดส่วนผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปต่อประชากรทั้งหมดสูงขึ้นเป็น 20.8% สูงกว่าเกณฑ์ 20% ตามที่สหประชาชาตินิยามไว้ สัดส่วนผู้สูงอายุไทยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะข้างหน้า รายงานสถานการณ์ประชากรของประเทศไทย ปี 2024 ของกระทรวงมหาดไทย พบว่า ประชากรไทยรวม 65,951,179 คน มีเด็กเกิดใหม่เพียง 462,240 คน ขณะที่มีผู้เสียชีวิต 571,646 คน ทำให้อัตราการเพิ่มขึ้นตามธรรมชาติ (อัตราการเกิด - อัตราการเสียชีวิต) อยู่ที่ -0.17% ติดลบ 4 ปีติดต่อกัน อัตราการเจริญพันธุ์รวม (Total Fertility Rate – TFR) แสดงจำนวนลูกต่อผู้หญิง 1 คนตลอดวัยเจริญพันธุ์ ในปี 2024 อยู่ที่ 1.0 ต่ำกว่าระดับทดแทนประชากรของไทยที่ 2.1 สะท้อนว่า ไทยมีผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นมาก ขณะที่เด็กเกิดก็ต่ำมากเช่นกัน 
 
การเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างประชากรของไทยจะส่งผลโดยตรงต่อกำลังแรงงานในอนาคต กำลังแรงงานไทยมีแนวโน้มปรับลดลงต่อเนื่องหลังจากเพิ่มขึ้นสูงสุดในช่วง Q4/2023 ที่ 40.25 ล้านคน และเริ่มหดตัวต่อเนื่องหลังจากนั้นเฉลี่ยปีละ -0.3%YOY (รูปที่ 9)

รูปที่ 9 : กำลังแรงงานไทยผ่านจุดสูงสุดในปี 2023 และหดตัวเฉลี่ยปีละ 0.3% นับจากนั้น
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ

งานศึกษาของ World Bank (2024) ระบุว่าไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีแนวโน้มผู้สูงอายุมีจำนวนมากขึ้น ขณะที่ผู้ทำงานลดลงเร็วสุดในโลก โดยพบว่า อัตราการพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อประชากรวัยทำงาน (Old-age dependency ratio)  อยู่ที่ 22% และมีแนวโน้มสูงขึ้นเป็น 50% ในปี 2050 จากทั้งจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และประชากรวัยทำงานมีแนวโน้มหดตัวต่อเนื่องและรุนแรงขึ้น จากสัดส่วนราว 70% ในปี 2024 เหลือเพียง 59% ภายในปี 2050 (รูปที่ 10)

รูปที่ 10 : สัดส่วนผู้สูงอายุในไทยเพิ่มขึ้นเร็ว ขณะที่สัดส่วนคนวัยทำงานลดลงแรงเทียบต่างประเทศ  
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ World Bank และ Population estimates and projections 

2. ผลิตภาพแรงงานไทย (Labor productivity) ลดลงมาก ข้อมูลองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ
และการพัฒนา (Organization for Economic Co-operation and Development : OECD) เผยว่าผลิตภาพแรงงานไทยช่วงปี 2020-2024 ลดลง 0.6% ลดลงมากจากช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผลิตภาพแรงงานยังโตใกล้ 4% (OECD, 2025)  อาจสะท้อนผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่สะสมอยู่เดิม ซ้ำเติมด้วยแผลเป็นโควิด-19 โดยเฉพาะการลงทุนภาคเอกชนที่อยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง รวมทั้งการลงทุนภาครัฐทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและทุนมนุษย์ที่ไม่สูงนัก ทำให้ประเทศขาดการลงทุนพัฒนาทักษะแรงงาน เป็นอีกปัจจัยทำให้แรงงานไม่สามารถปรับตามเทคโนโลยีใหม่ได้ ส่งผลกดดันการฟื้นตัวของรายได้ในระยะข้างหน้า

แรงงานไทยต้องใช้กลยุทธ์ “3 ปรับ” รับมือโจทย์ท้าทาย 

ท่ามกลางสงครามการค้าที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยพึ่งพาอุปสงค์ภายนอกยาก ในขณะที่ความเปราะบางของภาคครัวเรือนและธุรกิจในประเทศยังฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ตลอดจนการเข้ามาของเทคโนโลยีอย่าง AI ที่เริ่มทดแทนแรงงานได้มากขึ้น ล้วนเป็นปัจจัยกดดันต่อตลาดแรงงานไทยส่งผลต่อการจ้างงานที่ลดลงในระยะข้างหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การรอคอยความช่วยเหลือจากมาตรการภาครัฐเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ แรงงานจึงต้องตระหนักถึงปัญหาและรีบ “ปรับ” เพื่อรับมือกับสิ่งที่เข้ามาโดยควรคำนึงถึง

1. “ปรับทักษะ” สร้างมุมมองเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong learning) มุ่งเรียนรู้ทักษะใหม่หลากหลาย (Multi-skilled) ตามความต้องการของตลาดแรงงานที่เปลี่ยนเร็ว พร้อมเรียนรู้การประยุกต์ใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเสริมศักยภาพการทำงาน เช่น AI ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล ปรับกระบวนการทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนทักษะและประยุกต์ใช้ตามความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างรวดเร็ว

2. “ปรับทัศนคติการเงิน” สร้างความยืดหยุ่นทางการเงิน (Financial resilience) ช่วยรับมือความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ โดยประเมินรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอให้เข้าใจสถานะการเงินตนเอง และสามารถวางแผนการใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ หาทางสร้างรายได้หลายทาง ลดรายจ่ายไม่จำเป็นและปรับพฤติกรรมการบริโภคให้เหมาะสม 
เพิ่มสัดส่วนเงินออมเผื่อฉุกเฉิน รวมถึงการวางแผนชำระคืนหนี้อย่างมีวินัย โดยจัดลำดับความสำคัญของหนี้ กำหนดแผนชำระหนี้ตามกำลัง เพื่อลดภาระทางการเงินในระยะยาว

3. “ปรับตัวทันโลก” ตามเทรนด์โลกและรูปแบบการทำงานใหม่ (Adaptability) ปรับตัวทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก เปิดรับรูปแบบการทำงานและค่านิยมใหม่ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงาน เรียนรู้ และเปิดใจรับโอกาสใหม่ เพื่อให้อยู่รอดได้ในตลาดแรงงานยุคใหม่
 
บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/labor-market-061025

ผู้เขียนบทวิเคราะห์
 
 
ณฐพงศ์ ตันติจิรานนท์ (nathapong.tuntichiranon@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์
 
 
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (poonyawat.sreesing@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
 
 
ภัคพล ตันติวิชช์ (pakkapon.tontiwich@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์

MACROECONOMICS RESEARCH 
ดร. ยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)

ดร.ฐิติมา ชูเชิด ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจมหภาค

ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์  นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
นนท์ พฤกษ์ศิริ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
วิชาญ กุลาตี นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส
กุศลิน จารุชาต นักเศรษฐศาสตร์
ณฐพงศ์ ตันติจิรานนท์  นักเศรษฐศาสตร์
ภัคพล ตันติวิชช์  นักเศรษฐศาสตร์
ภาวัต แสวงสัตย์  นักเศรษฐศาสตร์
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 08 ต.ค. 2568 เวลา : 11:59:50
09-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 9, 2025, 11:39 am