
การขายของในสมัยก่อน หรือช่วงแรกเริ่มของธุรกิจอีคอมเมิร์ซก็ตามที ต่างก็ใช้กลยุทธ์ทางการตลาดแบบมาตรฐานตามตำรา ว่าด้วยการใช้สื่อโฆษณา การประชาสัมพันธ์ PR การส่งเสริมการขายด้วยการทำ Sales Promotion ออกอีเว้นท์ การขายตรง หรือจะขยับขึ้นมาตามยุคปัจจุบันที่ใช้สื่อโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น แต่เมื่อเทคโนโลยีสตรีมมิ่ง (Streaming) ที่เป็นการถ่ายทอดสดไปยังผู้ชมได้แบบเรียลไทม์ได้เปิดให้คนทั่วไปสามารถใช้งานได้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กลุ่มธุรกิจสื่อโทรทัศน์อีกต่อไป รูปแบบของคอนเทนต์ในโซเชียลมีเดียจึงได้ถูกต่อยอดแตกแขนง เกิดเป็นอาชีพใหม่ ๆ มากมาย รวมถึงช่องทางแห่งโอกาสในการทำเงินก็มากขึ้นด้วย หนึ่งในนั้นก็คือ “การไลฟ์สดขายของ” ที่คล้ายกับเป็น Shortcut ให้คนตัดสินใจซื้อของใน ณ ขณะที่กำลังดูอยู่ รวมถึงยังเป็นการสร้าง Community ที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยอีกด้วย
โดยปกติ กระบวนการตัดสินใจซื้อของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย จำเป็นต้องใช้กระบวนการทางการตลาดเข้าช่วย ทั้งศึกษาหา กลุ่มลูกค้า พิจารณาถึงปัญหาของพวกเขา แล้วสร้างสรรค์สินค้าขึ้นมาพร้อมกับการสื่อสารออกไป เพื่อให้พวกเขาเกิด Awareness ว่ามีสินค้านี้ จากแบรนด์นี้อยู่ จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการประเมินทางเลือกกับสินค้าอื่นที่มีในตลาด รวมถึงคุณสมบัติ ความคุ้มค่า และปัจจัยอื่น ๆ เพื่อหาตัวเลือกที่ดีที่สุด จากนั้นแล้วจึงตัดสินใจซื้อ ซึ่งทั้งหมดที่พูดมาก็ล้วนแล้วแต่เป็นแกนหลักสำคัญของพฤติกรรมผู้บริโภคตรงตามตำรา ที่ไม่ว่าธุรกิจไหนสามารถทำการตลาดเช่นนี้ได้ตรงจุด ก็มีโอกาสที่พวกเขาจะซื้อสินค้าและกลายมาเป็นลูกค้าของแบรนด์ แต่เนื่องด้วยวิวัฒนาการของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่เกิดการให้บริการด้านการสร้างคอนเทนต์ที่ดำเนินมาถึงจุดที่สามารถไลฟ์สดได้ทุกที่ทุกเวลา รวมถึงแพลตฟอร์มนั้น ๆ ยังมีการสร้างพื้นที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายมาบรรจบกัน ทั้งฟีเจอร์ “การปักตะกร้า” ที่ผู้ขายสามารถปักสินค้าตัวเองได้ขณะไลฟ์สด และระบบการชำระเงินที่ให้เลือกใช้บริการในหลายช่องทาง เมื่อผนวกเข้ากับฟีเจอร์การใช้งานในแพลตฟอร์มที่พยายามดึงให้ User ใช้เวลาเสพคอนเทนต์ ณ ที่ตรงนี้ให้นานที่สุด ทำให้เกิดตัวเร่งปฏิกิริยาในการซื้อของออนไลน์มากกว่าช่วงเริ่มแรกของธุรกิจอีคอมเมิร์ซเป็นไหน ๆ
กล่าวคือ การซื้อของออนไลน์ผ่านอีคอมเมิร์ซ จะเป็นไปในลักษณะที่ธุรกิจอาจจะต้องมีเว็บไซต์ซื้อขายเป็นของตัวเอง ผ่านการโพสต์ขายลงโซเชียลมีเดียแล้วตกลงทำการโอนเงินแนบสลิปธนาคารส่งให้ผู้ขาย หรือผ่านแพลตฟอร์มที่เป็นตลาดซื้อขายสินค้าโดยตรง การตลาดในยุคก่อนก็ยังจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติตามสูตรสำเร็จ เพราะช่องทางออนไลน์ดังกล่าวก็เป็นเพียงแค่การอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าซื้อของได้ง่ายขึ้น ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปซื้อที่หน้าร้าน แต่การมาของการไลฟ์สด มันกลายเป็นทางลัดที่ย่อกระบวนการตัดสินใจซื้อมาอยู่ในระยะเวลาสั้น ๆ ระหว่างที่กำลังดูไลฟ์สดนั้นอยู่ เพราะฟีเจอร์นี้เปิดโอกาสให้ผู้ที่ขายและผู้รับชมสามารถโต้ตอบกันไปมาได้แบบเรียลไทม์ ดังนั้นจึงเกิดการสื่อสารการขายกับลูกค้าได้เฉพาะเจาะจงเป็น “รายบุคคล” แถมยังได้ครั้งละมาก ๆ ซึ่งสามารถต่อยอดเป็นการสานสัมพันธ์ระหว่างผู้ชมกับตัวแทนของแบรนด์ที่ไลฟ์ขายของอยู่ ที่บางแบรนด์อาจมีกลยุทธ์การสื่อสารที่เรียกชื่อผู้ชม การคุยเล่น การแนะนำแบบจริงใจ ทำให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นพวกเดียวกันและซื้อสินค้าผ่านไลฟ์นั้นในที่สุด
นอกจากนี้ แนวทางการสื่อสารภายใต้การไลฟ์สดขายของยังขยายความเป็นไปได้อีกไม่รู้จบ เช่น ในสังคมไทย เราเริ่มเห็นเวทีประกวดนางงามได้ขยายช่องทางการหารายได้ด้วยการให้เหล่านางงามไลฟ์สดขายของเพื่อมาเป็นส่วนหนึ่งของภารกิจที่ต้องทำ หรือเหล่าไอดอลนักแสดงที่ได้เป็นพรีเซนเตอร์แบรนด์สินค้าต่างๆ ก็ต้องมีการไลฟ์สดขายของเช่นกัน ซึ่งก็จะได้แรงสนับสนุนจากเหล่าแฟนคลับเข้ามาซื้อของเป็นการ Support คนที่พวกเขารัก เป็นประโยชน์ที่เอื้อหนุนระหว่างกันและกัน ทั้งแฟนคลับ ไอดอล และแบรนด์ที่จ้างไอดอลอีกที หรือจากกรณีล่าสุดอย่าง “เจนนี่ ได้หมดถ้าสดชื่น” นักร้องและเจ้าของค่ายเพลงชื่อดัง ที่ได้แรงสนับสนุนจากคนบนโซเชียลจากประเด็นดราม่าในครอบครัวอย่างล้นหลาม โดยกวาดรายได้เกือบ 300 ล้านบาท จากการไลฟ์สดขายของเพียงแค่ 4 วัน ก็เป็นอีกเคสที่แสดงถึงความทรงพลังของการไลฟ์สด ที่ดำเนินมาถึงจุดที่สามารถกลายเป็น Community ได้อย่างดีทีเดียว
ดังนั้น การไลฟ์สดขายของ จึงกลายโอกาสใหญ่ต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ที่เปิดโอกาสให้กับทั้งธุรกิจรายเล็กและรายใหญ่ รวมถึงรายบุคคลที่จะสร้างรายได้และยอดขายที่มากขึ้นและมีประสิทธิภาพ โดยทั้งประหยัดเวลาการทำการตลาด ประหยัดต้นทุน และยังสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้แน่นแฟ้นมากขึ้น ซึ่งจะยิ่งส่งผลดีต่อการดำรงอยู่ของธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืนมากกว่ายุคก่อน
ข่าวเด่น