
“หมูเด้ง” หรือ “หงส์ไทย” คำสองคำนี้ หากกล่าวขึ้นมาลอย ๆ อย่างไรแล้วคนส่วนใหญ่ก็คงจะรับรู้ว่ามีแหล่งกำเนิดมาจาก “ประเทศไทย” แทบทั้งนั้น แต่ถ้าเกิดว่าในการส่งออกสินค้าภายใต้สองชื่อนี้ แม้จะมาจากแบรนด์ของเจ้าของคนไทย แต่กลับกลายเป็นว่าผิดกฎหมายและไม่สามารถใช้ชื่อนี้ได้ในประเทศที่กำลังจะตีตลาด เพราะชื่อดังกล่าวได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าในประเทศนั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ตัวอย่างดังกล่าวเกือบเกิดขึ้นแล้ว หากกรมทรัพย์สินทางปัญญาของไทย ไม่ได้ตรวจสอบและแจ้งเตือนไปยัง องค์การสวนสัตว์แห่งประเทศไทย และบริษัท สมุนไพรไทย หงส์ไทย จำกัด ที่เป็นเจ้าของเครื่องหมายการค้า “Moo Deng” (หมูเด้ง) และ “Hongthai Brand” ตามลำดับ ให้พิจารณายื่นคัดค้านการจดทะเบียนในต่างประเทศ ซึ่งมีคนอื่นได้เข้าจดทะเบียนในจีนและเวียดนามไปก่อนหน้านี้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย “การละเมิดเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศ” ที่ถ้าหากทำสำเร็จ และไม่ได้รับการคัดค้านตามระยะเวลาที่กำหนดอ้างอิงจากกระบวนการทางกฎหมายแต่ละประเทศ ผู้ที่ยื่นเรื่องจด จะได้สิทธิในเครื่องหมายการค้า หรือ Trademark Right ของประเทศนั้น ๆ ทันที เป็นหลัก “First to File” หรือก็คือใครจดก่อน คนนั้นคือผู้ได้รับสิทธิ์ ซึ่งในกรณีชื่อ หมูเด้ง หากไม่ได้รับการคัดค้านอย่างทันเวลา คาดว่าจะสูญเสียโอกาสทางการค้าในตลาดจีนสูงกว่า 300 ล้านบาทเลยทีเดียว
โดยหลักพื้นฐานเกือบทุกประเทศทั่วโลกของสิทธิในเครื่องหมายการค้า คือ ไม่สำคัญว่าชื่อเครื่องหมายการค้า หรือ Trademark นั้น ๆ จะเป็นที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงอยู่แล้วในประเทศของผู้ที่ตั้งชื่อดังกล่าว ถ้ามีคนเอาชื่อนี้ไปจดเครื่องหมายการค้าในต่างประเทศเรียบร้อย เขาจะได้รับการคุ้มครองทางด้านกฎหมายทันที ส่วนเจ้าของตัวจริงที่ใช้ชื่อนี้มาก่อนในประเทศตัวเอง กลับกลายเป็นผู้เสียสิทธิ์ทางกฎหมาย ที่สินค้าต้นแบบจะกลายเป็นสินค้าเถื่อนที่สามารถถูกฟ้องข้อหาละเมิดเครื่องหมายการค้าได้ ขณะที่สินค้าปลอม “ถูกกฎหมาย” ในประเทศนั้น เพราะจดทะเบียนถูกต้องแล้ว
กรณีนี้เกิดขึ้นอย่างมากในอดีต เช่น Apple เคยโดนบริษัทจากจีนจดชื่อเครื่องหมายการค้าชื่อ “iPad” ไปก่อนในประเทศจีน รวมถึง Tesla, New Balance, Michael Jordan ก็เคยโดนลักษณะนี้เหมือนกัน ซึ่งช่องโหว่ทางกฎหมายนี้ กลายเป็นการทำสิ่งที่เรียกว่า Trademark Squatting หรือการเรียกค่าไถ่ชื่อแบรนด์ ซึ่งกรณีของ Apple ต้องจ่ายเงินกว่า 60 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว เพื่อซื้อชื่อ iPad คืนถึงจะสามารถขายในจีนได้ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งจริง ๆ แล้วความคุ้มครองทางกฎหมายของสิทธิเครื่องหมายการค้า ก็มีขึ้นเพื่อปกป้องธุรกิจภายในประเทศ เพราะแต่ละประเทศก็ถือได้ว่าเป็นตลาดที่มีเขตอธิปไตยของตัวเอง การที่ชื่อของสินค้าโด่งดังในประเทศหนึ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าคนประเทศอื่นจะรู้จัก และยังอาจมีความคล้ายคลึงของภาษาที่ทำให้ชื่อมันอาจซ้ำกันได้ด้วย แต่อย่างไรก็ตามหากเกิดลักษณะการละเมิดแบบนี้ ถ้ายื่นคัดค้าน ในขั้นตอนพิจารณาจดทะเบียนไม่ทันแล้ว การต่อสู้ต่อไป คือ จำเป็นต้อง “ฟ้องเพิกถอน (Invalidation) โดยอ้างว่าเป็นการจดโดยไม่สุจริต แต่กระบวนการเหล่านี้ใช้เวลานาน (1–3 ปีขึ้นไป) มีค่าใช้จ่ายสูง และไม่แน่ว่าจะชนะ เพราะต้องพิสูจน์ว่ามีชื่อเสียงระดับที่รู้จักโดยทั่วไปในประเทศที่โดนชิงจดเครื่องหมายการค้ามาก่อน
ดังนั้นภาคธุรกิจไทย ที่ส่วนใหญ่มีการเติบโตผ่านการส่งออก ควรต้องจดทะเบียนล่วงหน้าในประเทศที่มีแผนจะขยายตลาด เช่น ถ้าแบรนด์มีแนวโน้มส่งออกไปจีน เวียดนาม อินโดนีเซีย ก็ควรจดไว้ตั้งแต่ยังไม่เข้าไป โดยสามารถใช้ระบบ Madrid Protocol (ผ่านกรมทรัพย์สินทางปัญญาไทย) เพื่อยื่นจดหลายประเทศพร้อมกัน ซึ่งทำได้ง่ายกว่า และราคาถูกกว่ายื่นแยกทีละประเทศ นอกจากนี้ ควรเฝ้าระวังชื่อแบรนด์ในต่างประเทศเป็นระยะ ๆ เพราะบางคนตั้งใจ Copy หรือเรียกค่าไถ่ชื่อแบรนด์ตามเคสตัวอย่าง เช่น หากมีการออกบูทอีเว้นท์ทางธุรกิจระดับนานาชาติ ก็ควรรีบไปจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ากันเอาไว้ เพราะมีกรณีที่คนเข้ามาดูงาน แล้วเห็นว่าไอเดียสินค้าของแบรนด์นี้ดี ก็รีบชิงไปจดเครื่องหมายการค้าในประเทศตัวเองก่อนเลย ซึ่งจะทำให้ธุรกิจที่ควรจะเติบโตในตลาดต่างประเทศต้องเสียโอกาสไปอย่างน่าเสียดาย
ข่าวเด่น