การค้า-อุตสาหกรรม
3 ไตรมาสปี 68 ต่างชาติลงทุนในไทยสูงถึง 2.53 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 3 ไตรมาสปี 67 ถึง 1.18 แสนล้านบาท หรือ 88% สิงคโปร์ขึ้นแท่นลงทุนอันดับหนึ่ง 86,550 ล้านบาท ตามด้วย ญี่ปุ่น 76,397 ล้านบาท และจีน 21,925 ล้านบาท


นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ.2542 เปิดเผยว่า 9 เดือน ปี 2568 (มกราคม - กันยายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 770 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 201 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 569 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 253,116 ล้านบาท โดยจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่

 
1. ญี่ปุ่น 142 ราย คิดเป็น 18% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 76,397 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

             - ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์ การให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ เป็นต้น

             - ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์เพื่อจำหน่าย และ/หรือ ให้บริการ

             - ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบและผลิตผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าสำหรับอุปกรณ์ตัดไฟแรงดันสูง

             - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น อุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับใช้กับเครื่องจักร เหล็กแผ่นเคลือบ หม้อแปลงไฟฟ้าแบบใช้น้ำมัน และชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง

2. สหรัฐอเมริกา 116 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 4,368 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ 

             - ธุรกิจกิจการนายหน้าหรือตัวแทนในการจัดหาผู้ให้บริการด้านการผลิตสินค้า

             - ธุรกิจโฆษณา

             - ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา ค่าใช้จ่าย การเดินทาง และที่พักระหว่างการศึกษาต่อ

               - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์, DC Cable, และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ

3. สิงคโปร์ 108 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 86,550 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

             - ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์

             - ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับบริหารจัดการสัญญาณโทรคมนาคมและระบบวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้งาน

             - ธุรกิจบริการซ่อมแซมและบำรุงรักษาสินค้าประเภทนาฬิกา

              - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เบาะนั่งรถยนต์และเบาะนั่งของเครื่องจักรกล บรรจุภัณฑ์จากเศษวัสดุทางการเกษตร, Printed Circuit Board, และชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม

4. จีน 99 ราย คิดเป็น 13% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 21,925 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

             - ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์

             - ธุรกิจบริการรับจ้างประกอบยางล้อรถยนต์

             - ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วน หรือส่วนประกอบของอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ยานยนต์         

             - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น แม่พิมพ์, Flexible Printed Circuit Board, ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป         

5. ฮ่องกง 82 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 12,624 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ

          - ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อทำเครื่องเรือนและเครื่องใช้สอย ซึ่งเป็นการผลิตผลิตภัณฑ์ไม้ไผ่และไม้

          - ธุรกิจบริการขุดเจาะปิโตรเลียม ภายในบริเวณพื้นที่แปลงสำรวจที่ได้รับสัมปทานในอ่าวไทย

           - ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง ประเภทไม่มีโครงข่ายเป็นของตัวเอง

           - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป คอมเพรสเซอร์สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ชิ้นส่วนโลหะ และอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบนิวเมติกส์

เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 134 ราย (21%) (เดือน ม.ค. - ก.ย.68 อนุญาต 770 ราย / เดือน ม.ค. - ก.ย.67 อนุญาต 636 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 118,311 ล้านบาท (88%) (เดือน ม.ค. - ก.ย.68 ลงทุน 253,116 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - ก.ย.67 ลงทุน 134,805 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวเพิ่มขึ้น 2,631 คน (105%) (เดือน ม.ค. - ก.ย.68 จ้างงาน 5,132 คน / เดือน ม.ค. - ก.ย. 67 จ้างงาน 2,501 คน)  โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 377 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 770 ราย มูลค่าลงทุน 199,699 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาล ที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่

1. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง

2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค

3. ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services

อธิบดีพูนพงษ์ เพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วงสามไตรมาสปี 2568 (มกราคม - กันยายน) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 222 ราย คิดเป็น 29% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 15 ราย (7%) (เดือน ม.ค. - ก.ย.68 ลงทุน 222 ราย / เดือน ม.ค. - ก.ย.67 ลงทุน 207 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC 82,264 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก *จีน 55 ราย ลงทุน 15,665 ล้านบาท *ญี่ปุ่น 52 ราย ลงทุน 28,919 ล้านบาท *สิงคโปร์ 26 ราย ลงทุน 15,853 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 89 ราย ลงทุน 21,827 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ

        - การแปรรูปไม้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์

         - บริการทางวิศวกรรม โดยการออกแบบชิ้นส่วนยานยนต์ เช่น โครงรถ ประตูรถ แผงหน้าปัด และเบาะนั่ง เป็นต้น

        - บริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล บริการ Data Center

         - บริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ชิ้นส่วนโลหะ ชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์โลหะ/ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และผลิตภัณฑ์จากกระดาษรีไซเคิล    

เฉพาะเดือนกันยายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 83 ราย เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 20 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 63 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 27,580 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก ญี่ปุ่น  สิงคโปร์ และจีน ตามลำดับ มีการจ้างงานคนไทย 237 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับควบคุมแรงดันหลุมขุดเจาะปิโตรเลียม องค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซอฟต์แวร์และแอปพลิเคชัน องค์ความรู้เกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อบกพร่องของกระบวนการผลิต องค์ความรู้เกี่ยวกับระบบนั่งร้านแบบหล่อค้ำยันที่ใช้ในอาคารสูง เป็นต้น

          สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนกันยายน 2568 ได้แก่ 

            - ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การออกแบบแม่พิมพ์และอุปกรณ์สำหรับการผลิตยานยนต์

            - ธุรกิจศูนย์กลางธุรกิจระหว่างประเทศ (International Business Center: IBC)

          - ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาด้านเทคนิคเกี่ยวกับกระบวนการผลิตยานยนต์ และการทดสอบประสิทธิภาพของเครื่องจักรและอุปกรณ์ เป็นต้น

            - ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์ และบริการ Data Center

          - ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น Flexible Printed Circuit Board, ชิ้นส่วนเหล็กทุบขึ้นรูป ชิ้นส่วนเครื่องจักรสำหรับงานก่อสร้าง เป็นต้น

#SuperDBD #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 16 ต.ค. 2568 เวลา : 12:37:29
19-10-2025
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 19, 2025, 8:33 am