.jpg)
อุตสาหกรรมยานยนต์ ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในสินค้าส่งออกที่ทรงอิทธิพลต่อระบบเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล โดยครองอันดับ 1 ของสินค้าที่ส่งออกมากที่สุดมานานหลายปีติดต่อกัน และยังพูดได้อย่างเต็มปากว่าไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียนอีกด้วย แต่ในขณะเดียวกัน ไทยก็เป็นประเทศที่มีการเรียกเก็บภาษีรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศที่แพงมาก จนโดนแซวว่าต้องเสียภาษีถึง 300% ถึงจะสามารถเป็นเจ้าของรถแบรนด์หรูได้
จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้เสียภาษีถึง 300% เสียทีเดียว แต่รถยนต์ที่นำเข้ามาขายยังไทยจะต้องเจอกับกำแพงภาษีอยู่ 4 ด่านด้วยกัน ได้แก่ ภาษีอากรขาเข้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีเพื่อมหาดไทย และภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งก็เกิดขึ้นมาเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมยานยนต์ภายในประเทศตัวเอง ที่ไทยเองนั้นจะใช้วิธีนี้ดึงดูดให้ค่ายรถต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานในไทย เพื่อขายคนไทยได้ถูกกว่า และกลายเป็นฐานการผลิตที่จะส่งออกไปขายยังประเทศอื่น ๆ
หากแต่นโยบายการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ในประเทศ อาจกลับกลายเป็นการทำร้ายผู้บริโภคในประเทศไทยเสียเอง ที่มีตัวเลือกให้ซื้อน้อยลง และยังต้องจ่ายแพงขึ้นจากภาษีทั้ง 4 ด่าน ซึ่งเมื่อจำแนกภาษีแต่ละชนิดที่คนไทยจะต้องเสีย พบว่า
ภาษีอากรขาเข้า (Import Duty) หรือที่เรียกว่าภาษีนำเข้า แค่ด่านแรกเราก็ต้องเสียภาษีมากถึง 40-80% ของราคารถ C.I.F (ราคารถจากประเทศต้นทางที่รวมค่าขนส่ง ประกัน และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จนมาถึงประเทศปลายทาง) โดยจะขึ้นอยู่กับประเทศต้นทาง เช่น จากยุโรป 80% ส่วนประเทศญี่ปุ่นที่มีข้อตกลงทางการค้าจะอยู่ที่ 30% และกับประเทศจีนที่เป็นรถยนต์ EV จะอยู่ที่ 0%
ภาษีสรรพสามิต (Excise Tax) จะมีการคิดภาษีที่แตกต่างกันตามขนาดรถยนต์ และพลังงานที่ใช้ เช่น รถยนต์ส่วนบุคคล จะโดนเรียกเก็บ 25-40% ส่วนกลุ่มรถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด หรือ Plug-in Hybrid จะอยู่ที่ 8-40% โดยจะคิดภาษีจากราคารถที่รวมกับภาษีนำเข้า
ภาษีเพื่อมหาดไทย (Municipal Tax) เป็นภาษีท้องถิ่นที่จะคิดภาษีเป็น 10% ของภาษีสรรพสามิตที่รวมไว้ก่อนหน้านี้
ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) หรือ VAT 7% ที่เราคุ้นเคยกันดี โดยนำราคารถบวกกับภาษีทั้งหมด 3 ด่านแรกคูณกับ 7% อีกครั้งก็จะได้ราคารถยนต์ที่แท้จริงที่คนไทยจะต้องจ่าย
ดังนั้น ภาษีทั้งหมดข้างต้นจึงเป็นคำตอบของคำถามที่ว่าทำไมราคารถยนต์ต่างประเทศ เมื่อนำเข้ามาขายในไทยถึงมีราคาที่สูงขึ้นหลายเท่าขนาดนี้ ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะไม่ยุติธรรมเลยที่อย่างรถยนต์ของ Tesla เราสามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยเงินเริ่มต้น 1 ล้านบาทเท่านั้นเมื่อซื้อที่สหรัฐ แต่ขณะเดียวกันถ้าเราอยากเป็นเจ้าของในประเทศไทยต้องจ่ายถึง 2 ล้านกว่าบาท ทั้ง ๆ ที่ค่าแรงประเทศไทยอยู่ที่วันละ 300 บาท ส่วนค่าแรงสหรัฐอยู่ที่ 300 - 400 บาท เช่นกันแต่เป็นค่าแรงต่อชั่วโมง
ตรงนี้เองที่จะเข้าสู่เรื่องของความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ และนโยบายการส่งเสริมการผลิตรถยนต์ในไทยที่ได้เกริ่นไปก่อนหน้านี้ ที่ความมุ่งมั่นในการดึงดูดให้ค่ายรถต่างประเทศเข้ามาตั้งฐานผลิตในไทยนั้น สุดท้ายแล้ว ณ ปัจจุบันนี้ เรามีข้อตกลงที่เอื้ออำนวยให้กับรถยนต์ไฟฟ้า EV สัญชาติจีนมากที่สุด กล่าวคือ ประเทศไทย มีข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างกลุ่มประเทศอาเซียน-จีน ที่ตกลงกันว่าภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจะอยู่ 0% และไทยที่มีความต้องการที่จะครองฐานการผลิตยานยนต์อยู่แล้ว เมื่อความต้องการของรถยนต์พลังงานสะอาดเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางรัฐบาลไทยจึงตั้งใจที่จะลดภาษีรถยนต์ EV เพื่อดึงให้ไทยกลายเป็นฐานตลาดและฐานผลิต EV ในภูมิภาค โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 2565–2570 (ตามโครงการ EV3.0 และ EV3.5) ที่จะลดภาษีสรรพสามิตในกลุ่มรถยนต์พลังงานสะอาดให้เหลือ 2% หรือ 0% สำหรับบางรุ่น มีการคืนเงินสนับสนุน (Subsidy) ที่รัฐจะคืนเงินให้กับผู้นำเข้าและผู้ซื้อ ซึ่งเมื่อมาคิดภาษีมูลค่าเพิ่มในขั้นตอนสุดท้าย ก็จะมีฐานภาษีที่ต้องเสียน้อยลงจากต้นทุนที่ถูกกว่ามากดังกล่าว
ฉะนั้นจีนที่เป็นเจ้าของค่ายรถยนต์ที่มีสายการผลิต EV แบบครบวงจรตั้งแต่แบตเตอรี่ถึงชิปควบคุม จึงได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่เมื่อเข้ามาลงทุนในไทย เช่น ค่ายรถ BYD ที่หลังจากเข้าตลาดไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2022 จากการเริ่มนำเข้ารถยนต์เพื่อจัดจำหน่าย ก็ขยับขึ้นมาลงทุนเต็มจำนวนสร้างโรงงานผลิตในประเทศในนิคมอุตสาหกรรม WHA จ.ระยอง ที่เริ่มจัดจำหน่ายรถยนต์ EV ที่ผลิตภายในโรงงาน BYD ประเทศไทยเมื่อเดือน ก.ค. ปี 2024 จวบจนมาวันนี้ก็สามารถทำสถิติส่งมอบรถยนต์ในไทยครบ 100,000 คันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 7–9 แสนบาท ทั้งที่ถ้าเป็นรถสเปกเดียวกันจากยุโรปหรือญี่ปุ่นอาจแตะ 2–3 ล้านบาท
ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมถึงมีรถยนต์ไฟฟ้าราคาถูกจากจีนถึงเข้ามาขายในไทยเยอะขนาดนี้ และยังสามารถลบอคติในใจคนไทยหลาย ๆ คน ที่อาจรู้สึกว่าคุณภาพของรถยนต์ EV จากจีนไม่เทียบเท่ารถจากประเทศอื่นเนื่องจากมีราคาถูกกว่าหลายเท่า ทั้ง ๆ ที่จริงก็เป็นแค่เรื่องของข้อตกลงและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศที่แตกต่างกันออกไปแค่นั้นเอง
ข่าวเด่น