
สทนช. หารือหน่วยงานหลังพายุ "คัลแมกี" เติมน้ำอีกระลอกใหญ่ ทยอยเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล เร่งระบายมวลน้ำชุดสุดท้ายลงสู่อ่าวไทย คาด 13 พ.ย. เป็นต้นไปปริมาณฝนตอนบนเบาลง อากาศหนาวมาแทนที่ ประเมินระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ช่วงกลางเดือน ธ.ค. นี้

วันนี้ (10 พฤศจิกายน 2568) นายไพฑูรย์ เก่งการช่าง รองเลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เป็นประธานการประชุมปรึกษาหารือการติดตามสภาพอากาศ สถานการณ์น้ำ และการคาดการณ์ เพื่อปรับแผนบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิและผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม ณ อาคารจุฑามาศ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ และผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยรองเลขาธิการ สทนช. เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ในปีนี้มีฝนตกเหนือเขื่อนเจ้าพระยามากเป็นอันดับ 2 รองจากปี 2565 โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่มีฝนตกหนักจากอิทธิพลทางอ้อมของพายุ “คัลแมกี” แม้ว่ากรมอุตุนิยมวิทยาจะประกาศเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวอย่างเป็นทางการตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มีมวลน้ำระลอกใหม่ไหลเข้าเขื่อนภูมิพลเพิ่มเติม ปัจจุบันเหลือช่องว่างรองรับน้ำอยู่อีกเพียงประมาณ 127 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ที่ประชุมจึงได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางในการบริหารจัดการน้ำโดยไม่ต้องเปิดทางระบายน้ำล้นฉุกเฉินของเขื่อน (Spillway) โดยมีมติเห็นชอบให้ทยอยปรับเพิ่มการระบายน้ำเขื่อนภูมิพล โดยในวันนี้จะปรับจากอัตราเดิม 45 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน เป็น 48 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน จากนั้นในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2568 จะปรับเพิ่มเป็น 53 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน และในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2568 จะปรับเพิ่มเป็น 55 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน หากจำเป็นต้องระบายน้ำเพิ่มเติมจะไม่เกิน 60 ล้าน ลบ.ม. ต่อวัน ทั้งนี้ มวลน้ำดังกล่าวจะไหลต่อเนื่องลงสู่พื้นที่ตอนล่าง คาดว่าจะมีปริมาณน้ำไหลผ่านจังหวัดนครสวรรค์สูงสุดประมาณ 3,100 ลบ.ม. ต่อวินาที และมีระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน +17.77 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง เป็นประมาณ +18.00 เมตร จากระดับทะเลปานกลาง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจังหวัดอุทัยธานีและชัยนาท ในส่วนของท้ายเขื่อนเจ้าพระยา จะเริ่มเพิ่มการระบายน้ำตั้งแต่วันนี้ จากอัตรา 2,800 ลบ.ม. ต่อวินาที เป็น 2,900 ลบ.ม. ต่อวินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ซึ่งยังต่ำกว่าปี 2554 ที่มีการระบายน้ำท้ายเขื่อนเจ้าพระยาสูงสุด 3,700 ลบ.ม. ต่อวินาที


ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยเฉพาะในบางจังหวัดที่ประสบปัญหามาเป็นระยะเวลานานหลายเดือน เช่น จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงมีความพยายามอย่างยิ่งเพื่อเร่งคลี่คลายมวลน้ำออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด โดยขณะนี้ได้ประสานกรมชลประทานเพื่อระบายน้ำเข้าสู่ทุ่งลุ่มต่ำที่ยังมีพื้นที่รองรับเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม เนื่องจากข้อจำกัดบางประการ จึงต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและรอบคอบ แต่จะเร่งดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพ และจะระบายน้ำออกทางฝั่งตะวันออกและตะวันตกของเขื่อนเจ้าพระยาให้ได้มากที่สุด คาดว่าการระบายมวลน้ำชุดนี้จะเป็นชุดสุดท้ายของฤดูฝนปี 2568 เนื่องจากกรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) (สสน.) ประเมินว่า ฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลงตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม เนื่องจากมวลความกดอากาศสูงได้แผ่เข้าปกคลุมพื้นที่ โดยฝนจะเคลื่อนตัวไปตกหนักในพื้นที่ภาคใต้มากขึ้น คาดว่าจะสามารถเริ่มระบายน้ำในอัตราต่ำกว่า 1,000 ลบ.ม. ต่อวินาที ได้ในช่วงประมาณสัปดาห์ที่ 2 - 3 ของเดือนธันวาคม ในการนี้ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้ดูแลผู้ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ และจะเร่งหาแนวทางในการชดเชยเยียวยาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ประสบอุทกภัยมากกว่า 30 วัน รวมถึงกำชับให้เร่งรัดโครงการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในระยะยาว โดย สทนช. จะรายงานผลการประชุมในครั้งนี้ให้นายกรัฐมนตรีได้รับทราบในวันนี้


ข่าวเด่น