
นับตั้งแต่ช่วงหลังวิกฤตโควิด-19 มานี้ ดูเหมือนว่าเศรษฐกิจของไทยค่อนข้างจะมีการเติบโตที่ชะลอตัว ยิ่งมีปัจจัยที่รุมเร้าเข้ามา ก็ทำให้ทั้งอัตราการบริโภคตกต่ำ รวมถึงสถานะการเงินของภาคครัวเรือนก็ไม่สู้ดีนัก พิจารณาได้จากระดับหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ของไทยที่ยังมากกว่า 80% ซึ่งฟ้องว่ายังคงเป็นปัญหาที่คอยสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอยู่
โดยสาเหตุที่เศรษฐกิจไทยฟื้นได้ไม่เต็มที่นัก และยังอ่อนไหวกับปัจจัยเสี่ยงภายนอกที่เข้ามาอยู่เนือง ๆ ต้องไล่มาตั้งแต่โครงสร้างของเศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาต่างชาติในสัดส่วนที่สูงมาก ทั้งในมิติการท่องเที่ยวและการส่งออก ที่กินสัดส่วนใน GDP ไทย ถึง 20% และ 60-70% ตามลำดับ ทำให้เมื่อเกิดสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนจากภายนอกขึ้นมา เช่น การส่งออกติดปัญหา ความสัมพันธ์ทางการทูต ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายจากฝั่งสหรัฐ ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบมายังเศรษฐกิจเต็ม ๆ ยิ่งในตอนนี้ที่ไทยเราทั้งต้องเผชิญกับความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กระทบการส่งออก แล้วยังต้องเสี่ยงกับทางสหรัฐจะใช้เรื่องของการเจรจาภาษี หรือเรื่องผลประโยชน์อื่น ๆ มาเป็นเครื่องมือในการต่อรองอีก ก็นับว่าเป็นสิ่งที่สามารถแสดงถึงความเปราะบางของโครงสร้างเศรษฐกิจไทยได้อย่างชัดเจน
ประเด็นต่อมา คือ อำนาจในการต่อรอง ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจกำลังพัฒนาแบบผสมและเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ (ซึ่งก้าวผ่านประเทศเกษตรกรรมเมื่อไม่นานมานี้) โดยอุตสาหกรรมที่ว่า หลัก ๆ แล้วจะเป็น ยานยนต์, อิเล็กทรอนิกส์, อาหารแปรรูป, ยางและพลาสติก ซึ่งอยู่ในตำแหน่งการผลิต Margin ต่ำ ที่ยังไม่สามารถดึง Value Chain ของสายการผลิตชั้นบนมาได้ และยังเข้าไปเป็นผู้แข่งขันในเศรษฐกิจใหม่ อย่างเทคโนโลยีสมัยใหม่ AI หรือ Clean Energy ที่ไทยเรายังจัดเป็นผู้ใช้ ไม่ใช่เจ้าของนวัตกรรม ดังนั้นอำนาจต่อรองกับต่างประเทศจึงมีไม่มากนัก หากเทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว อย่างเกาหลีใต้ หรือ จีน
ส่วนคุณภาพของประชากรนั้น ไทยเราก็ยังไม่สามารถที่จะผลิตบุคลากรที่มีทักษะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานชั้นบนได้มีประสิทธิภาพมากนัก สาเหตุมาจากทั้งการติดกับดักรายได้ปานกลาง และมิติของการศึกษาของไทย ซึ่งทั้งสองเรื่องยึดโยงกับการทำงานของส่วนภาครัฐ ที่อำนาจการบริหารของรัฐหรือการเมืองในประเทศมีความไม่คงที่ เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด จนยังไม่มีการแก้ปัญหาในระดับที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตและทักษะของคนในประเทศได้เพียงพอ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่ประชากรวัยทำงานมีจำนวนลดลง ทำให้ภาษีคนวัยทำงาน ไหลไปในค่าดูแลผู้สูงอายุมากขึ้น หมุนเข้าระบบน้อยลง ซ้ำเติมให้เศรษฐกิจไทยเปราะบางมากขึ้นไปอีก ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีการแก้ไขปัญหาล่วงหน้า 20-30 ปี
ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นถัดมา ก็รวมอยู่ทั้งในปัญหาหนี้ครัวเรือนไทย ที่คนไทยจำนวนมากอยู่ในภาวะชักหน้าไม่ถึงหลัง ผลิตแต่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ส่วนการลงทุนภาคเอกชน ก็ขาดทั้งแรงงานไทยที่มีทักษะเฉพาะทาง การบริโภคภาคเอกชนไม่แน่นอน-ต่ำ และยังมีความไม่แน่นอนด้านนโยบายรัฐอีก สิ่งเหล่านี้ป็นข้อจำกัดที่ทุนต่างประเทศยังไม่กล้าเดินหน้าลงทุนในไทยมากนัก
แล้วทำอย่างไรเศรษฐกิจไทยจึงจะฟื้นได้จริง?
อาจต้องกลับไปแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา อย่างโครงสร้างเศรษฐกิจแบบเดิมที่คอยเดินตามคนอื่น อย่างการท่องเที่ยว ส่งออกสินค้า เปลี่ยนไปเป็นผู้นำในบางจุด เช่น อุตสาหกรรม Food-Tech, EV + battery ecosystem หรือ Health Tourism Premium ซึ่งเป็นเทรนด์หลักของโลก ตีเป็นจุดเด่นของอุตสาหกรรมไทยใหม่ขึ้นมา ควบคู่ไปกับการดึงการลงทุนจากต่างชาติมากขึ้น อาจจะด้วยการ Digital Infrastructure เตรียมไว้ให้ การปรับกฎหมายแรงงานที่รองรับแรงงานคุณภาพสูงหรือผู้เชี่ยวชาญเข้าประเทศไทยง่ายขึ้น เป็นต้น
ขณะเดียวกัน ก็แก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนแบบมีระบบ ไม่ให้กลับมาอีก เช่น จัดกลุ่มลูกหนี้ตามความสามารถทางการเงิน มีการปรับโครงสร้างหนี้จริง มีการปลูกวินัยทางการเงินให้คนไทยลดพฤติกรรมการใช้จ่ายไม่พึงประสงค์ รวมถึงยกระดับแรงงานไทย ทั้งระบบการศึกษาที่เน้นทักษะจริงมากขึ้น อาจดึงเอกชนร่วมออกแบบหลักสูตร สนับสนุนการศึกษาทักษะเฉพาะทาง เช่น Data, Coding, Robotics หรือ Energy Tech เพื่อยกระดับรายได้ของคนไทย และส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ให้ค่าแรงสูง ไม่ใช่โรงงานแรงงานราคาถูก
นอกจากนี้ หากภาครัฐ สามารถเชื่อมไทยเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานโลกได้ เช่น การทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาค สร้างจุดแข็งด้านโลจิสติกส์: ท่าเรือ, ราง, ศูนย์กระจายสินค้า รวมถึงการเจรจาเขตการค้าเสรี FTA กับประเทศใหม่ ๆ ได้สำเร็จ เช่น ไทย–แคนาดา / ไทย–สหภาพยุโรป ก็จะยิ่งทำให้เศรษฐกิจไทยมีความแข็งแกร่งและฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งเพิ่มมากขึ้น
ข่าวเด่น