
การยุบสภาก่อนกำหนดของนายกรัฐมนตรี อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ถูกวางให้เข้ามาเพื่อกระตุ้น GDP ไทยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ให้ถึง 1% เพื่อไม่ให้เศรษฐกิจไทยเกิดการชะงักตัวลงไปมากกว่านี้ ทำให้เกิดความกังวลว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะสามารถดำเนินต่อไปได้อีกมากน้อยแค่ไหน รวมถึงการเจรจาภาษีกับทางสหรัฐที่ยังมีความไม่แน่นอนสูงจากข้อเรียกร้องของทรัมป์ ที่พยายามกดดันให้ไทยเจรจาหยุดยิงกับทางกัมพูชา ในปัญหาความขัดแย้งชายแดนที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
การที่นายกฯ อนุทิน พ้นตำแหน่งด้วยการประกาศยุบสภา แม้จะเปลี่ยนสถานะไปเป็น “รัฐบาลรักษาการ” ที่ยังคงนั่งทำงานในฝ่ายบริหารชั่วคราวจนกว่าฝ่ายบริหารชุดใหม่จะมาถึง แต่อำนาจที่ใช้ไม่ได้เต็มที่นั้น โดยเฉพาะการห้ามอนุมัติงานหรือโครงการใหม่ที่ก่อภาระผูกพันคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป (ยกเว้นกรณีที่กำหนดไว้ในงบประมาณรายจ่ายประจำปีอยู่แล้ว), การห้ามอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณสำรองเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ก่อน และการห้ามใช้ทรัพยากรของรัฐที่อาจมีผลในการเลือกตั้งนั้น อาจส่งผลต่อการดำเนินการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เคยถูกวางไว้ก่อนหน้านี้ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส เฟส 2 ที่ตามแผนเดิม รัฐบาลจะใช้งบกลาง 2 หมื่นล้านบาท แจกเงิน 2,000 บาทให้ประชาชน 10 ล้านคน ในกลุ่มพื้นที่ชายแดน น้ำท่วม และกลุ่มผู้ใช้สิทธิเดิมในเฟสแรก แต่เนื่องจากยังอยู่ในขั้นที่เตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ทำให้โครงการนี้ต้องชะลออกไปอย่างช่วยไม่ได้ ขณะที่การเปิดลงทะเบียนบัตรสวัสดิการแห่งรัฐรอบใหม่ก็ถูกเลื่อนออกไปเช่นกัน
และแม้ว่า จะมีนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เกี่ยวกับการช่วยเหลือและเยียวยาประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ รวมถึงการดูแลสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่การจะฟื้นฟูทั้ง 9 จังหวัดในภาคใต้จากมหาอุทกภัยดังกล่าวให้กลับมาตั้งหลักได้เหมือนเดิม ยังต้องอาศัยอำนาจเต็มที่ของรัฐบาลในการสั่งการและเข้าฟื้นฟูอย่างเร่งด่วน ตรงนี้เองที่รัฐบาลรักษาการอาจเกิดข้อจำกัดที่สามารถดำเนินได้ตามกรอบมาตรการเดิม ไม่สามารถยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้มากนัก
ส่วนความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ในรอบใหม่ที่มีความรุนแรงกว่าเดิม อีกทั้งยังมีความซับซ้อนจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้เข้ามาแทรกแซง เพื่อให้ทั้งสองประเทศยุติหยุดยิงกันนั้น ก็เกิดความท้าทายที่ฝ่ายไทยต้องมีการพูดคุยเพื่อให้ทรัมป์ เข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง จากความตั้งใจของไทยที่มีการตอบโต้เพื่อรักษาอธิปไตยของชาติ ไม่ใช่การที่ไทยรุกรานกัมพูชาอย่างที่ทางฝ่ายของกัมพูชาอยากให้นานาชาติเข้าใจไปแบบนั้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ไทยเรายังถูกดดันมากขึ้นเรื่อยๆ จากคำขู่ล่าสุดของทรัมป์ที่มีการขู่ว่า “จะลงโทษในกรณีที่ประเทศใดประเทศหนึ่งฝ่าฝืนข้อตกลงหยุดยิง” อันเป็นการบิดเบือนสร้างความเข้าใจผิดไปในวงกว้าง เพราะความจริงแล้วยังไม่เคยมีข้อตกลงหยุดยิงใด ๆ เกิดขึ้นเลยระหว่างไทย-กัมพูชา
ซึ่งการที่ไทยดูเหมือนว่าจะไม่เชื่อฟังสหรัฐ และเป็นเวลาเดียวกับการยุบสภา ที่ผู้บัญชาการทหารสูงสุดของไทย ขึ้นเป็นผู้บัญชาการรบในทุกส่วนที่มีอำนาจเด็ดขาดในเวลานี้ ขณะที่การเจรจาทางภาษีกับสหรัฐยังไม่บรรลุผล ก็นับเป็นความเสี่ยงที่ทรัมป์ อาจยกระดับการกดดัน หรือลงโทษประเทศไทยตามคำขู่ ด้วยการใช้อัตราภาษีนำเข้าสินค้ามาเป็นเครื่องมือ แม้ว่าทางนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอให้ฝ่ายสหรัฐ พิจารณาแยกประเด็นด้านความมั่นคงออกจากประเด็นทางการค้า เพื่อไม่ให้การเจรจาล่าช้าและกระทบต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของทั้งสองฝ่ายก็ตามที
ทั้งนี้ จากการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ทำให้การค้าชายแดนหายไปกว่า 99% เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ผลกระทบจากการยุบสภาที่เพิ่มขึ้นมา อาจยิ่งทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจภายในประเทศชะงักตัวลงไปอีก จากในมุมมองของนักลงทุนที่ชะลอการลงทุนในไทยจนกว่าการเมืองไทยจะนิ่งขึ้น รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่อาจซบเซาลงจากสถาการณ์ความขัดแย้งชายแดนอันส่งผลในเชิงจิตวิทยาของนักท่องเที่ยวที่พิจารณาเดินทางเข้าไทย
ข่าวเด่น