
นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เปิดเผยว่า ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม - พฤศจิกายน) มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้พระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว พ.ศ. 2542 จำนวน 973 ราย โดยเป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 263 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 710 ราย มูลค่าเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 311,162 ล้านบาท โดยมีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาลงทุน 5 อันดับแรก ได้แก่
1. ญี่ปุ่น 169 ราย คิดเป็น 17% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 82,505 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาทางเทคนิคในการปรับปรุงกระบวนการผลิต และการทดสอบการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้น
- ธุรกิจบริการศูนย์กระจายสินค้าด้วยระบบที่ทันสมัย
- ธุรกิจบริการพัฒนาซอฟต์แวร์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องจักร ชิ้นส่วน Electro-magnetic Product ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ เป็นต้น
2. สิงคโปร์ 146 ราย คิดเป็น 15% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 100,265 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจโรงแรม
- ธุรกิจบริการ Data Center
- ธุรกิจบริการติดตั้ง บำรุงรักษา และซ่อมแซมเกี่ยวกับเครื่องจักร
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะและชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป Printed Circuit Board เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools) และชิ้นส่วนเครื่องจักร เป็นต้น
3. สหรัฐอเมริกา 137 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 5,038 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจค้าปลีกสินค้า เช่น อาหารแช่แข็ง ปั๊มน้ำ เครื่องแต่งกาย และคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
- ธุรกิจกิจการโฆษณา
- ธุรกิจบริการออกแบบ พัฒนา ติดตั้ง และบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ แพลตฟอร์ม
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิต เช่น เครื่องประดับหรือชิ้นส่วนเครื่องประดับที่ผลิตจากโลหะมีค่า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับยานยนต์ DC Cable และโลหะผสมสำหรับผลิตเครื่องประดับ เป็นต้น
4. จีน 133 ราย คิดเป็น 14% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 33,119 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตถ่านกัมมันต์
- ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม จัดหาวัสดุอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณูปโภคของโรงไฟฟ้าพลังงานลม
- ธุรกิจบริการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ โดยเป็นการทดสอบชิ้นส่วนของอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตชิ้นส่วนพลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เป็นต้น
5. ฮ่องกง 104 ราย คิดเป็น 11% ของจำนวนธุรกิจต่างชาติในไทย ลงทุน 14,496 ล้านบาท ในธุรกิจ อาทิ
- ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม จัดหาวัสดุอุปกรณ์ ก่อสร้าง ติดตั้งและทดสอบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานลม
- ธุรกิจบริการโทรคมนาคมแบบที่หนึ่ง
- ธุรกิจบริการ DATA CENTER
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น พลาสติกคอมพาวด์ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป และอุปกรณ์สำหรับเครื่องจักร เป็นต้น
เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 พบว่า การอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาลงทุนประกอบธุรกิจในประเทศไทย เพิ่มขึ้น 89 ราย (10%) (เดือน ม.ค. - พ.ย. 68 อนุญาต 973 ราย / เดือน ม.ค. - พ.ย. 67 อนุญาต 884 ราย) และมีมูลค่าการลงทุนเพิ่มขึ้น 97,198 ล้านบาท (45%) (เดือน ม.ค. - พ.ย. 68 ลงทุน 311,162 ล้านบาท / เดือน ม.ค. - พ.ย. 67 ลงทุน 213,964 ล้านบาท) รวมถึงมีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าวรวม 5,718 คน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2,047 คน (56%) (เดือน ม.ค. - พ.ย. 68 จ้างงาน 5,718 คน / เดือน ม.ค. - พ.ย. 67 จ้างงาน 3,671 คน) โดยจำนวนนักลงทุนที่เข้ามาสูงสุดยังคงเป็นนักลงทุนญี่ปุ่นเช่นเดียวกับปีก่อน

นอกจากนี้ ยังพบว่า การลงทุนของต่างชาติที่เข้ามา ส่วนใหญ่มาจากการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน (BOI) สูงถึง 473 ราย คิดเป็น 49% ของจำนวนการอนุญาตทั้งหมด 973 ราย มูลค่าลงทุน 232,452 ล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติของรัฐบาลที่มุ่งเน้นอุตสาหกรรมอนาคต (Future Industries) เช่น เทคโนโลยีขั้นสูง ดิจิทัล AI ยานยนต์ไฟฟ้า พลังงานสะอาด และเกษตรอาหาร โดยประเภทธุรกิจที่ได้รับอนุญาตผ่านช่องทาง BOI สูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่
1. ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น ผลิตภัณฑ์โลหะ/พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น ซึ่งสนับสนุนการพัฒนาการผลิตที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
2. กิจการสนับสนุนการค้าและการลงทุน (TISO) ที่มีส่วนสำคัญในการเพิ่มบทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการลงทุนและโลจิสติกส์ในภูมิภาค
3. ธุรกิจบริการด้านคอมพิวเตอร์ เช่น พัฒนาซอฟต์แวร์ และ Data Center เป็นต้น โดยตรงกับเป้าหมายเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) และการพัฒนา Data Center และ AI Services
อธิบดีพูนพงษ์ฯ เพิ่มเติมว่า สำหรับการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC ของนักลงทุนต่างชาติ ช่วง 11 เดือนของปี 2568 (มกราคม - พฤศจิกายน) มีนักลงทุนต่างชาติสนใจลงทุนในพื้นที่ EEC 277 ราย คิดเป็น 28% ของจำนวนนักลงทุนต่างชาติในไทย ลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2567 จำนวน 4 ราย (1%) (เดือน ม.ค. - พ.ย. 68 ลงทุน 277 ราย / เดือน ม.ค. - พ.ย. 67 ลงทุน 281 ราย) โดยมีมูลค่าการลงทุนในจังหวัดพื้นที่ EEC 101,666 ล้านบาท คิดเป็น 33% ของเงินลงทุนทั้งหมด โดยเป็นนักลงทุนจาก *จีน 72 ราย ลงทุน 18,667 ล้านบาท *ญี่ปุ่น 60 ราย ลงทุน 32,349 ล้านบาท *สิงคโปร์ 40 ราย ลงทุน 22,705 ล้านบาท และประเทศอื่นๆ 105 ราย ลงทุน 27,945 ล้านบาท โดยธุรกิจที่ลงทุน อาทิ
- ธุรกิจแปรรูปไม้เพื่อการผลิตชิ้นส่วนของใช้ครัวเรือน สุขภัณฑ์
- ธุรกิจบริการทางวิศวกรรมและเทคนิค เช่น การให้คำปรึกษาทางเทคนิคในการปรับปรุงกระบวนการผลิต
และการทดสอบการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้น
- ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล / บริการ Data Center
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools) Printed Circuit Board Assembly ชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ และชิ้นส่วนโลหะขึ้นรูป เป็นต้น
เฉพาะเดือนพฤศจิกายน 2568 มีการอนุญาตให้คนต่างชาติเข้ามาประกอบธุรกิจในประเทศไทย 104 ราย
เป็นการลงทุนผ่านช่องทางการขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 35 ราย และการขอหนังสือรับรองการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว (ผ่านช่องทางการลงทุนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมการลงทุน หรือได้รับอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และการใช้สิทธิตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ) 69 ราย เงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 34,426 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติจาก สิงคโปร์ จีน และ ญี่ปุ่น ตามลำดับ
มีการจ้างงานคนไทยจากนักลงทุนที่ขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว 354 คน รวมถึงมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีอันเป็นองค์ความรู้เฉพาะด้านโดยตรงจากประเทศผู้เข้ามาลงทุนให้แก่คนไทย เช่น องค์ความรู้เกี่ยวกับวิศวกรรมและเทคโนโลยีของโรงไฟฟ้าพลังงานลม องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศของศูนย์ข้อมูล และองค์ความรู้เกี่ยวกับการควบคุมระบบเครื่องจักรในการผลิตยางรถยนต์ เป็นต้น
สำหรับธุรกิจที่คนต่างด้าวได้รับอนุญาตให้ประกอบธุรกิจในเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้แก่
- ธุรกิจบริการออกแบบทางวิศวกรรม จัดหาวัสดุอุปกรณ์ ก่อสร้าง รวมทั้งติดตั้งและทดสอบระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานลม
- ธุรกิจโรงแรม
- ธุรกิจบริการให้คำปรึกษาและแนะนำในการประกอบธุรกิจด้านต่างๆ
- ธุรกิจบริการพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้บริการดิจิทัล
- ธุรกิจบริการรับจ้างผลิตสินค้า เช่น พลาสติกคอมพาวด์, เครื่องมือไฟฟ้า (Power Tools) Printed Circuit Board Assembly และชิ้นส่วนเครื่องมือแพทย์ เป็นต้น
#SuperDBD #กรมพัฒนาธุรกิจการค้า #กระทรวงพาณิชย์
ข่าวเด่น