
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย กับ กัมพูชา เรียกได้ว่าระหองระแหงกันมาโดยตลอดในบริบทของการอ้างสิทธิทางวัฒนธรรม ที่ฝั่งของกัมพูชามักจะเคลมว่าประเทศของเขาเป็นรากเหง้า และต้นแบบของไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร เครื่องแต่งกาย ภูมิปัญญา ศิลปะ ขนบธรรมเนียมประเพณี ไปจนถึงสถาปัตยกรรมโบราณ ด้วยแนวคิดหลักที่ว่า พวกเขาเป็น “เจ้าของ” ที่แท้จริง จึงมีความชอบธรรมที่จะทวงหรือยึดคืนสิ่งที่พวกเขาคิดว่าเป็นของตัวเองกลับคืนมา ดั่งในข้อพิพาทปราสาทตาเมือนธม ที่รัฐบาลกัมพูชากำลังจัดทำเอกสารฟ้องศาลโลก ทำให้ความขัดแย้งระหว่างสองประเทศยิ่งร้อนระอุ โดยเฉพาะทางฝั่งของกัมพูชาที่เริ่มมีกระแสแบนสินค้าไทยออกมาในปัจจุบัน
ไทยกับกัมพูชามีภูมิประเทศที่อยู่ติดกัน มีระยะทางชายแดนยาวกว่า 800 กม. ที่มีจุดผ่านแดนทางการค้าตลอดแนว ซึ่งทั้ง 2 ประเทศจะใช้ชายแดนในการติดต่อสื่อสาร ทำการค้าการขนส่ง และการเดินทางของแรงงานอยู่โดยตลอด โดยจากข้อมูลของกรมการค้าต่างประเทศ ที่ได้ระบุ มูลค่าการค้าชายแดนไทยและกัมพูชา ในปี 2567 ของ 5 ด่านการค้าสำคัญด้วยกัน ได้แก่ 1. อรัญประเทศ จ.สระแก้ว มีมูลค่าการค้าขาย 110,718 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63.4% ของการค้าขายขายระหว่างชายแดนไทยกัมพูชา รองลงมา คือ 2. คลองใหญ่ จ.ตราด 3. จ.จันทบุรี 4. ช่องจอม จ.สุรินทร์ และสุดท้าย คือ 5. ช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ ที่หากรวมมูลค่าการค้าชายแดนทั้ง 5 ด่าน จะมีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 174,530 ล้านบาทเลยทีเดียว
ในส่วนทางด้านดุลการค้าระหว่างกันนั้น พิจารณาข้อมูลจากทางกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2568 (ม.ค.-เม.ย.) ไทยเกินดุลการค้า อยู่ที่ 89,397 ล้านบาท (จากมูลค่าสินค้าส่งออกทั้งสิ้น 107,297 ล้านบาท) และ มูลค่าสินค้านำเข้าจากกัมพูชามายังไทยอยู่ที่ 17,900 ล้านบาท สอดคล้องกับรายงานของสภาธุรกิจไทย-กัมพูชา ที่เปิดเผยว่า ในปี 2567 การค้าระหว่างสองประเทศ มีมูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 300,000 ล้านบาท โดยไทยมีการส่งออกไปกัมพูชาประมาณ 9,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเกือบประมาณ 90% ส่วนอีก 10% เป็นการนำเข้าจากกัมพูชา
จะเห็นได้ว่าไทยนั้นอยู่ในสถานะที่เกินดุลทางการค้ากับกัมพูชา ฉะนั้นผลกระทบจากที่ตอนนี้ ทางกองทัพบกไทยได้ลดเวลาการเปิด-ปิดด่านเข้าออกบริเวณชายแดนทั้ง 16 จุด ที่เชื่อมต่อกับกัมพูชา เพื่อที่จะกดดันทางการค้าและเศรษฐกิจของกัมพูชานั้น ย่อมกระทบกับทางฝั่งไทยไปในตัวด้วย เพราะหากความขัดแย้งนั้นรุนแรงเพิ่มมากขึ้นจนเกิดการปิดด่านถาวร ผลกระทบอันดับแรกเลย คือ กัมพูชา จะเสียรายได้มหาศาลที่มาจากคาสิโนในปอยเปต และกระทบต่อรายได้เข้าประเทศของแรงงานกัมพูชาที่ทำงานในไทยกว่า 4.5 หมื่นล้านบาท ทำให้กระแสการแบนสินค้าไทยเพิ่มสูงมากขึ้น กระทบต่อผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องดื่ม,ชิ้นส่วนรถยนต์,มอเตอร์ไซค์ และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งทางฝั่งไทยจะสูญเสียรายได้จากการค้าชายแดนไทยราว 1.4 แสนล้านบาท อันดับต่อมา คือ การที่สินค้าไทยไม่สามารถส่งออกไปกัมพูชาได้ในทางบกแบบปกติ จากการปิดด่าน ทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าระหว่างกันพุ่งสูงมากยิ่งขึ้นทันที และด้วยระยะเวลาการขนส่งที่นานกว่าเดิม ทำให้ห่วงโซ่การผลิตทั้งหมดเกิดการชะงัก ซึ่งตรงนี้จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในหมู่นักลงทุน เป็นความเสี่ยงที่ไทยจะต้องแบกรับด้วยเหมือนกัน
และอันดับสุดท้าย แม้ว่าฝั่งของไทยเราจะส่งออกไปมากกว่า 90% แต่ 10% ของการนำเข้ามาในไทย ทั้งมันสำปะหลัง, เศษอะลูมิเนียม, ทองแดง และลวดสายไฟ เป็นวัตถุดิบที่สำคัญอย่างมากต่ออุตสาหกรรมการผลิตของไทย ไม่ว่าจะเป็นอาหารสัตว์ ที่ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่อันดับ 4 ของโลก โดยมีส่วนแบ่งการตลาด ณ ปัจจุบัน อยู่ที่ 8.39% และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่สำคัญต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ไทย ที่การส่งออกกำลังเติบโต ณ ปัจจุบันเช่นกัน การขาดแคลนวัตุดิบสำคัญจากกัมพูชานับเป็นความเสี่ยงที่ถูกส่งต่อไปยังการส่งออกโดยรวมของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากนี้แล้ว ก็ยังกระทบต่อภาคการบริโภคในไทย เนื่องจากไทยจะขาดแคลนแรงงานกัมพูชาจากการปิดด่านกว่า 1 ล้านคน ซึ่งเมื่อผนวกเข้ากับการนำเข้าวัตถุดิบจากทางกัมพูชาที่หยุดชะงัก จะส่งผลกระทบให้ต้นทุนทางสินค้าที่เราใช้กันในปัจจุบันมีราคาแพงมากยิ่งขึ้น
ฉะนั้นแล้ว ในตอนนี้เราคงจะต้องฝากความหวังไว้กับการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย–กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย. นี้ว่าอาจมีความคืบหน้าที่ดีมากขึ้น ท่ามกลางความเสี่ยงของเกมการเมืองในฝั่งกัมพูชา ที่กำลังปลุกกระแสความรักชาติ เพื่อเรียกคะแนนเสียงให้กับ ฮุน มาเนต ในการเลือกตั้งสมัยหน้าในปี 2569 ซึ่งอาจเกิดการปะทะมายังฝั่งไทย และทำให้สถานการณ์เลวร้ายมากขึ้นได้ทุกเมื่อ
ข่าวเด่น