เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : วิกฤตร้านอาหารในไทย ต้นทุนเพิ่ม-กำลังซื้อหาย เสี่ยงปิดกิจการต่อเนื่อง


 

ในช่วงที่เศรษฐกิจไทยกำลังตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จากปัจจัยกดดันรอบด้านนั้น ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมในประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจร้านอาหาร ที่เชื่อมต่อกับภาคการบริโภคโดยตรง ซึ่งตอนนี้สิ่งที่เกิดขึ้น คือ ผู้คนมีการตัดค่าใช้จ่าย ลดการกินที่ฟุ่มเฟือย เพื่อ Save เงินในกระเป๋าตัวเองที่มีอยู่อย่างจำกัด ส่งผลให้ร้านอาหารไทยเสี่ยงปิดตัวเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้
 
ธุรกิจร้านอาหาร เป็นประเภทธุรกิจที่มีการเปิด-ปิดกิจการสูงที่สุด จากบรรดาธุรกิจทั้งหมด เนื่องจากเป็นธุรกิจที่เข้าถึงง่าย มีรูปแบบให้เลือกหลากหลาย ตั้งแต่ร้านอาหารจานด่วน Street Food ร้านอาหารตามสั่ง ร้านอาหารบุฟเฟต์ ไปจนถึงร้านอาหารแบบ Fine Dining ซึ่งมีกลุ่มลูกค้ารองรับทุกรูปแบบ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ พบว่า ร้านอาหารในไทยมีการเปิดตัวเป็นจำนวนมาก หลังจากผ่านพ้นช่วงวิกฤตโควิด-19 ไป อ้างอิงจากข้อมูลจากทาง Crg ที่รายงานว่า หลังจากช่วงวิกฤตโรคระบาดดังกล่าว ตลาดธุรกิจร้านอาหารในไทยก็กลับมาขยายตัวต่อเนื่อง ซึ่งได้มีการคาดการณ์ว่าภาพรวมตลาดในปี 2568 จะเติบโตอยู่ที่ราว 5-7% หรือมีมูลค่ารวม 572,000 ล้านบาทเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม แบรนด์ร้านอาหารหน้าใหม่ที่ตบเท้าเข้าสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก ก็ส่งผลให้ธุรกิจมีการแข่งขันที่สูงขึ้น และเสี่ยงปิดตัวเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยเข้าถึงร้านอาหารได้หลากหลายขึ้น จึงเบื่อง่าย และอยากทดลองอาหารหรือการบริการใหม่อยู่ตลอดเวลา
 
วงจรร้านอาหารที่สั้นลงนี้ สอดคล้องกับข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ที่เปิดเผยว่า ปัจจุบันยอดปิดกิจการร้านอาหารทะลุ 100,000 ร้านต่อปี โดยสัดส่วนร้านอาหารที่ต้องปิดตัวลงตั้งแต่ปีแรกที่ร้านเริ่มกิจการ กำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อย ๆ จาก 40% ขยับขึ้นมาถึง 60% ในปัจจุบัน ซึ่งนอกจากจะเป็นเพราะการแข่งขันที่สูงแล้ว สิ่งที่ลึกกว่านั้นคือ การเกิดขึ้นของ “สภาวะฟองสบู่ร้านอาหาร” กล่าวคือ ปัจจุบันนี้ เนื่องด้วยการเกิดขึ้นของร้านอาหารที่เพิ่มขึ้นสูงมาก (จากตัวเลขมูลค่าตลาดที่บ่งชี้ข้างต้น) แต่เมื่อผนวกกับสภาวะเศรษฐกิจโลกที่กำลังผันผวน จากทางนโยบายของสหรัฐ และความขัดแย้งกันระหว่างประเทศที่มีผลกับราคาทองและน้ำมันดิบโลก ทำให้กลไกของการค้าโลกและตลาดลงทุนอยู่ในจุดที่ไม่ปลอดภัย ซึ่งส่งผลไปยังทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะประเทศไทย ที่มีรูปแบบเศรษฐกิจที่พึ่งพาภายนอกเป็นหลัก ทั้งการบริโภคและการลงทุน
 
เมื่อในตอนนี้เศรษฐกิจโลกกำลังซบเซา ส่งผลให้คนมีเงินในกระเป๋าลดลง สิ่งที่ตามมาคือ คนส่วนใหญ่ย่อมจำเป็นต้องมีการตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ต้องคุม Budget การเงินให้เหลือแค่จ่ายสิ่งที่สำคัญกับชีวิตมากขึ้น ดังนั้นประเทศไทยจึงไม่สามารถพึ่งพานักท่องเที่ยวต่างชาติ ให้เข้ามาเพิ่มยอดบริโภคในไทยได้ ธุรกิจการบริการ ซึ่งได้แก่ โรงแรมและร้านอาหาร จึงขาดรายได้ส่วนนี้ลง และการที่ภาคธุรกิจมีรายได้หดตัวลงนี้ ก็ส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดของธุรกิจ และการจ้างงาน ทำให้อำนาจในการจับจ่ายของคนไทยยิ่งลดลงไปอีก และเมื่อผนวกกับปัญหาการค้าโลกที่ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นร่วมด้วยแล้วนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ธุรกิจร้านอาหารในไทยจะรับศึกหนักทั้งขึ้นทั้งล่องจนอยู่ไม่ได้และปิดตัวลงในที่สุด
 
สิ่งที่สังเกตได้อย่างชัดเจนจากข้อมูลของกลุ่มธุรกิจร้านอาหารเลยคือ ตอนนี้ลูกค้าสั่งน้ำเปล่ามากขึ้น ไม่เหมือนแต่ก่อนที่ยังสั่งน้ำหวาน หรือน้ำปั่นมารับประทานร่วมกับอาหาร และร้านที่เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อระดับกลางถึงสูง ในช่วง 2-3 ปีให้หลังมานี้ พบว่า มีการจับจ่ายน้อยลง หรือ Spending Per Hea มีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มมองถึงความคุ้มค่ามากขึ้น ตรงนี้เองเป็นตัวสะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า ผู้คนในประเทศไทยกำลังตัดการใช้จ่ายลง และยุคกินหรูอยู่สบายกำลังจะหายไป
 
เพราะแท้จริงแล้วการที่ธุรกิจร้านอาหารเติบโตในช่วงหลังโควิดที่ผ่านมา ไม่ใช่สิ่งที่สะท้อนว่าคนในประเทศมีกำลังซื้อมากขึ้น แต่เป็นเพราะไลฟ์สไตล์ติดแกรม ซึ่งทำให้เกิดการใช้จ่ายเกินตัวมากกว่ารายรับที่ได้ อ้างอิงจากทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สภาพัฒน์ ที่รายงานว่า ปัจจุบันคุณภาพสินเชื่อปรับตัวลดลง และเสี่ยงที่ NPL หรือ หนี้เสีย จะขยับขึ้นสูง เพราะลูกหนี้ใช้จ่ายเกินกำลัง ผ่อนไม่ไหว และตอนนี้เองกำลังซื้อของคนที่อาศัยในกรุงเทพ ลดลงกว่าครึ่งหนึ่ง ขณะที่ต่างจังหวัดหายไปถึง 80%
 
สถานการณ์ของร้านอาหารในไทยจึงกำลังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งคาดว่าในไตรมาส 3 ของปี 2568 นี้ ร้านอาหารในไทยมีแนวโน้มปิดตัวลงมากสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ช่วงเกิดวิกฤตโควิด-19 เลยทีเดียว การประคองตัวที่ดีที่สุดในช่วงเวลานี้อย่างมากก็คือการทำตัวเองไม่ให้ขาดทุน ก็คงนับว่าเก่งมากแล้ว เพราะตอนนี้ในฝั่งภาครัฐ ทางคณะกรรมการบอร์ดค่าจ้างได้มีมติ 2 ใน 3 ปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 400 บาท ในพื้นที่กรุงเทพ และขึ้น 400 บาททั่วประเทศ สำหรับกิจการโรงแรม 2 ดาวหรือมี 50 ห้องขึ้นไป โดยมีผล 1 ก.ค.2568 นี้ ยิ่งทำให้ธุรกิจต้องเผชิญกับภาระต้นทุนมากขึ้น ก็คงต้องรอดูว่า นอกจากที่ทางกระทรวงแรงงาน ร่วมกับธนาคาร ที่เตรียมเปิดวงเงินสินเชื่อ 30,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการกู้เอาไปต่อยอดทุนแล้ว จะมีมาตรการในการดูแลนายจ้างเพิ่มเติมอีกหรือไม่ เพื่อช่วยเหลือเยียวยา และแก้ปัญหาผลกระทบอย่างจริงจัง และอุ้มไม่ให้ธุรกิจภาคบริการเสียหายไปมากกว่านี้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 18 มิ.ย. 2568 เวลา : 18:34:08
08-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (8 ก.ค.68) ลบ 7.35 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,115.65 จุด

2. MTS Gold คาดว่าจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,300 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,350 เหรียญ ยังคงแนะนำให้ทำกำไรในกรอบแคบ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (8 ก.ค.68) ลบ 4.53 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,118.47 จุด

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (7 ก.ค.68) ลบ 10 เซนต์ เหตุดอลลาร์แข็งค่า

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (8 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 60-70%

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (7 ก.ค.68) ร่วง 422.17 จุด หลังทรัมป์ประกาศ 14 ประเทศจะถูกเรียกเก็บภาษีตั้งแต่ 1 ส.ค.

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (8 ก.ค. 68) ปรับขึ้น 250 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,100 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (8 ก.ค. 68) ลบ 12.22 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,110.78 จุด

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.45-32.70 บาท/ดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นปิด (7 ก.ค.2568) บวก 3.06 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,123.00 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (7 ก.ค.68) ลบ 8.48 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,111.46 จุด

12. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับที่ระดับ 3,300 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 3,340 เหรียญ

13. กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 32.10-32.75 จับตาภาษีทรัมป์

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (7 ก.ค.68) ฝนตกหนักในภาคเหนือ-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก 70% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 40-60%

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (7 ก.ค. 68) ปรับลดลง 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 51,800 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 8, 2025, 6:44 pm