หุ้นทอง
PrimeStreet Capital กาง 4 ธีมเมกะเทรนด์ทางรอดวิกฤตโลก! โชว์ผลงาน 2 ปีครึ่ง NAV-MOIC โต 7 เท่า IRR พุ่ง 180% ส่งซิกลุ้น FDA ไฟเขียวขึ้นทะเบียนยารักษาโรค ALS


PrimeStreet Capital ชี้เศรษฐกิจโลกเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน ส่งสัญญาณชะลอตัวต่อเนื่อง แนะกระจายพอร์ตลงทุนเกาะกระแสเมกะเทรนด์สะสมความมั่งคั่ง กางผลงาน 2 ปีครึ่ง ภายใต้ธีม 4 เมกะเทรนด์ NAV - MOIC โต 7 เท่า IRR พุ่งแตะ 180% ส่งซิกลุ้น FDA ไฟเขียวบริษัทร่วมลงทุน “Novel Immunologic Therapy for Neurodegenerative Diseases” ขึ้นทะเบียนยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ล่าสุดบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ สัญชาติญี่ปุ่นหลายราย  แห่ตบเท้าเข้าเจรจาลงทุนเพื่อได้การอนุญาตใช้สิทธิ์ผลิตพร้อมจัดจำหน่ายยา ลุยยึดหัวหาดตลาดภูมิภาคเอเชีย 

 
นายวิฤทธิ์ วิจิตรวาทการ ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วน PrimeStreet Capital ผู้บริหารกองทุน Global Venture Capital แถวหน้าของเมืองไทย ในเครือ PrimeStreet Group เปิดเผยว่า แนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังมีสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง จากการเผชิญปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ทั้งปัจจัยความไม่แน่นอนทางการค้า, การปรับขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯทั่วโลก รวมถึงแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ส่งผลต่อราคาพลังงาน และความเชื่อมั่นนักลงทุนทั่วโลก 

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤตย่อมมีโอกาสเสมอ โดยเฉพาะในโลกแห่งการลงทุน ที่จะเป็นจังหวะและโอกาสในการซื้อของดีราคาถูก ซึ่งนักลงทุนต้องปรับกลยุทธ์การลงทุนเน้นกระจายพอร์ตลงในสินทรัพย์ที่มีศักยภาพ สามารถสร้างผลตอบแทนในระดับสูง และที่สำคัญราคาสินทรัพย์มีค่าความสัมพันธ์ (Correlation) ต่ำเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น อย่างสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Asset) อาทิ หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์อย่าง Private Equity (PE) และ Venture Capital (VC) โดยเฉพาะที่อยู่ในกระแสเมกะเทรนด์ ซึ่งมีกระจายอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมทั่วโลก ซึ่งจากตัวเลขสถิติย้อนหลัง 25 ปี ของ Cambridge Associates พบว่า สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 23.1% ต่อปี และมีความผันผวนน้อยกว่าสินทรัพย์หลายประเภท

โดยกองทุน Global Venture Capital ภายใต้การบริหารจัดการของ PrimeStreet Capital ปัจจุบันมีอายุราว 2 ปีครึ่ง ซึ่งเน้นลงทุนภายใต้ 4 ธีมเมกะเทรนด์ คือ Healthcare and Wellness, Environment and Infrastructure,  Impact Technology, และ Food, Water, and Resources มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (Net Asset Value : NAV) ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 7 เท่า โดยผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อเทียบกับเงินลงทุนเริ่มต้น (MOIC : Multiple on Invested Capital) ซึ่งเป็นมูลค่าที่ยังไม่รับรู้ (Unrealized Value) อยู่ที่เกือบ 7 เท่า คิดเป็นอัตราผลตอบแทน IRR 180% ตามการเติบโตแบบก้าวกระโดดของกิจการบริษัทร่วมลงทุน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย IRR ของภาพรวม Venture Capital อายุ 3 ปี ที่อยู่ราว 20.2% (ข้อมูลรายงานผลดำเนินงานของ Pitchbook Global Fund) 

 
นายวิฤทธิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ต่อเนื่องปี 2569 PrimeStreet Capital ยังคงเน้นโฟกัส 4 ธีมเมกะเทรนด์หลัก ผ่าน 4 บริษัทที่ได้เข้าไปร่วมลงทุน ผลักดันให้มีการเติบโตที่ดี สร้างผลตอบแทนสูงสุด โดยเฉพาะ “Novel Immunologic Therapy for Neurodegenerative Diseases” บริษัทด้านเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech Company) ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติขึ้นทะเบียนยารักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง หรือ ALS (Amyotrophic lateral sclerosis) จากองค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ FDA (Food and Drug Administration) หลังผ่านการอนุมัติในหลักการเรียบร้อยแล้ว และได้เข้าสู่กระบวนการทดสอบศักยภาพและประสิทธิผลของยาขั้นสุดท้ายในกลุ่มผู้ป่วยตัวอย่างกว่า 300 รายทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่น เป็นต้น

ทั้งนี้ ล่าสุดบริษัทผลิตยายักษ์ใหญ่ สัญชาติญี่ปุ่นหลายราย แสดงความสนใจ พร้อมขอเจรจาลงทุนเพื่อได้การอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในการผลิต พร้อมจัดจำหน่ายยารักษาโรค ALS สร้างทางเลือกใหม่ในการรักษาผู้ป่วยในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งนับเป็นหนึ่งในธุรกิจที่มีโอกาสสร้างมูลค่าผลตอบแทนก้าวกระโดดเร็วเกินคาด เทียบจากค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรมที่ใช้เวลานานนับสิบปี
 
“เราวางเป้าหมายทยอยคืนผลตอบแทนให้นักลงทุนภายใน 2-3 ปี และมีแผนปิดกองภายในปีที่ 5 หรือ 6 ซึ่งเร็วกว่าค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม พร้อมย้ำจุดยืนการลงทุนเพื่อสร้างกำไรและประโยชน์ทั้งระบบ ด้วยแนวคิด “นำนวัตกรรมจากโลก กลับมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในไทย” ผ่านความร่วมมือกับภาคสาธารณสุขและธุรกิจไทย เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานในประเทศอย่างยั่งยืน” นายวิฤทธิ์ กล่าว
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 มิ.ย. 2568 เวลา : 14:45:34
05-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ก.ค.2568) ลบ 7.27 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.94 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และ แนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ก.ค.68) ลบ 3.23 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,123.96 จุด

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) บวก 344.11 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรแข็งแกร่งเกินคาด

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) ลบ 16.80 เหรียญ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย หลังจ้างงานแกร่งเกินคาด

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 30-40%

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ก.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ก.ค. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,000 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ก.ค.68) บวก 0.56 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.77 จุด

11. ประกาศ กปน.: 19 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

12. ตลาดหุ้นปิด (3 ก.ค.68) บวก 11.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.21 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ก.ค.68) บวก 3.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.36 จุด

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 ก.ค.68) ภาคตะวันออก ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่น 70% เว้นภาคใต้ 60%

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ก.ค.68) ลบ 10.52 จุด กังวลจ้างงานภาคเอกชนลดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 5, 2025, 7:24 am