แบงก์-นอนแบงก์
กรุงศรีฯ มองเศรษฐกิจไทย "แสงสลัวที่ปลายอุโมงค์" คาด GDP ปีนี้ แค่ 1.5% จับตาการเมืองไทย-การเจรจาการค้าสหรัฐ กระทบส่งออก


 
นายฮิโรทากะ คุโรกิ ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จับตามองสถานการณ์การเมืองไทยอย่างใกล้ชิด ภายหลังวันนี้ (1 ก.ค.68) ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติ 7 ต่อ 2 ให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมา กรณีปมคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภา และอดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ซึ่งเชื่อว่ากระทบต่อภาพความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อเศรษฐกิจไทย ทั้งในแง่ของความต่อเนื่องของนโยบาย รวมถึงเสถียรภาพของรัฐบาล ซึ่งจะต้องติดตามใกล้ชิดต่อไปว่าจะกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจอย่างไร เพราะขณะนี้ประเทศไทยประสบทั้งปัจจัยลบในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศที่กระทบต่อเนื่องมายังภาคการส่งออกที่ไม่เติบโต


ด้าน นางสาวรุ่ง สงวนเรือง ผู้อํานวยการอาวุโส สายงานวางแผนโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวเสริมว่า อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทย (GDP) ปีนี้ คาดจะเติบโตเพียง 1.5% ซึ่งยังไม่นับรวมปัจจัยการเมืองล่าสุดวันนี้ที่เข้ามาเกี่ยวข้องและกระทบกับเศรษฐกิจ 

“เศรษฐกิจไทยปีนี้ลุ้นได้ดีสุดเพียงแสงสลัวที่ปลายอุโมงค์ เนื่องจากการส่งออกมีแนวโน้มจะหดตัว 0% หรือไม่มีการเติบโต แม้ไตรมาสแรกปีนี้จะเติบโต เนื่องจากมีการเร่งส่งออกจากความคาดหวังจะถูกกระทบจากมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐ”นางสาวรุ่ง กล่าว

 
นางสาวรุ่ง กล่าวต่อไปว่า ในช่วงครึ่งปีหลังเศรษฐกิจไทยจะเผชิญความท้าทายอย่างมากในหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายนอกประเทศและปัจจัยในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการส่งออกที่หดตัวจากนโยบายภาษีตอบโต้ของสหรัฐ ความไม่แน่นอนทางการค้า ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และผลต่อต้นทุนพลังงาน การสูญเสียความสามารถในการแข่งขันและการทะลักของสินค้าจากจีน รวมถึงการท่องเที่ยวที่เคยเป็นรายได้หลักของประเทศ จำนวนนักท่องเที่ยวก็ลดลงโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ที่ไทยสูญเสียเสน่ห์จากนักท่องเที่ยวชาวจีน เนื่องจากมีความกังวลเรื่องความปลอดภัย ประกอบกับปัจจัยเชิงโครงสร้างในประเทศ ทั้งหนี้ครัวเรือนที่สูง และไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ทำให้ขณะนี้ในสายตาต่างชาติมองไทยว่า เศรษฐกิจไทยไม่โตหรือไม่มีการเติบโต ซึ่งอาจเป็นสาเหตุที่ไม่จูงใจให้เข้ามาลงทุนในไทย โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ระยะยาว จะมีก็เพียงตราสารหนี้ระยะสั้นที่เข้าเร็วออกเร็ว


ธนาคารกรุงศรีอยุธยามองว่า ค่าเงินบาทจะมีความผันผวนสูง ทั้งปัจจัยจากค่าเงินดอลลาร์และปัจจัยในประเทศเอง โดยไตรมาส 3 ปีนี้ อาจจะอ่อนค่าลงบ้าง ซึ่งอยู่ในช่วงพักฐาน ก่อนที่ไตรมาส 4 จะแข็งค่าขึ้นในระดับ 31.75-34.00 บาท/ดอลลาร์ บนสมมติฐานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้งมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ และปัจจัยลบต่างๆ ของเงินดอลลาร์ในตลาดโลกที่ยังดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม แม้เงินบาทเทียบดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น แต่ถ้าเทียบเงินสกุลหลักอื่น เช่น เงินเยนและเงินยูโร เงินบาทไทยจะอ่อนค่าลง

สำหรับอัตราดอกเบี้ยของไทย คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีกอย่างน้อย 0.25% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จากระดับ 1.75% ในปัจจุบัน เพื่อประคองเศรษฐกิจท่ามกลางการเผชิญหลากหลายความเสี่ยงด้านขาลง


นาวสาวรุ่ง กล่าวว่า แม้ธนาคารกรุงศรีอยุธยาจะมองกรณีเลวร้ายสุด GDP เติบโตแค่ 1.5% จากสมมูติฐานสหรัฐเรียกเก็บภาษีตอบโต้ไทยที่ 36% หรือไทยเผชิญกำแพงภาษีสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ซึ่งทำให้ส่งออกไม่โต และตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 35.5 ล้านคน แต่หากสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าแค่ 10% กับประเทศส่วนใหญ่ รวมทั้งไทย และเรียกเก็บ 30% กับ จีน ขณะที่จีนเก็บภาษีนำเข้า 10% กับสหรัฐ คาดว่า GDP ของไทย อาจมาอยู่ที่ระดับ 2.1% บนสมมุติฐานตัวเลขส่งออกโต 2% นำเข้าเพิ่มขึ้น 12.1% ดุลบัญขีเดินสะพัด 11.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ นักท่องเที่ยวต่างชาติ 36.5 ล้านคน เงินเฟ้อทั่วไป 0.6% และดอกเบี้ยนโยบายของไทย 1.25%

นางสาวรุ่งกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับเศรษฐกิจปีหน้าก็คงต้องจับตาดูว่าจะเป็นทิศทางขาลงต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งต้องจับตาดูเรื่องการส่งออกเป็นสำคัญ เพราะเกี่ยวเนื่องและรับผลกระทบโดยตรงกับมาตรการเรียกเก็บภาษีทางการค้าของสหรัฐ ส่วนปัจจัยในประเทศ จับตาปัจจัยการเมือง ความต่อเนื่องของนโยบาย และ เสถียรภาพของรัฐบาล แต่หากมีการประกาศการยุบสภาแบบไม่ทันตั้งตัว จะเกิดผลกระทบเลวร้ายที่สุด เนื่องจากรัฐบาลไม่มีอำนาจเต็มในการเจรจาการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะกระทบโดยตรงอย่างมากกับภาคการส่งออกไทย

LastUpdate 01/07/2568 20:42:43 โดย : Admin
05-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ก.ค.2568) ลบ 7.27 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.94 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และ แนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ก.ค.68) ลบ 3.23 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,123.96 จุด

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) บวก 344.11 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรแข็งแกร่งเกินคาด

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) ลบ 16.80 เหรียญ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย หลังจ้างงานแกร่งเกินคาด

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 30-40%

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ก.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ก.ค. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,000 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ก.ค.68) บวก 0.56 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.77 จุด

11. ประกาศ กปน.: 19 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

12. ตลาดหุ้นปิด (3 ก.ค.68) บวก 11.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.21 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ก.ค.68) บวก 3.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.36 จุด

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 ก.ค.68) ภาคตะวันออก ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่น 70% เว้นภาคใต้ 60%

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ก.ค.68) ลบ 10.52 จุด กังวลจ้างงานภาคเอกชนลดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 5, 2025, 9:01 pm