เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
บล อินโนเวสท์วิเคราะห์ "การเมืองมีความชัดเจนระดับหนึ่ง"


 

คาดตลาดแกว่งไซด์เวย์ ต้องไม่กลับไปหลุดต่ำกว่า 1105/1100 จึงจะเป็นการแกว่งตัวเพื่อรอขึ้น มีแนวต้านที่ 1120/1128 ผ่านได้จึงจะเป็นสัญญาณยืนยันของการแกว่งตัวขึ้นรอบใหม่ ปัจจัยในประเทศเรื่องการเมืองมีความชัดเจนระดับหนึ่งจากการปรับ ครม. หากการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และ พรบ. งบประมาณปี 2569 ยังไม่สะดุด ไม่กลับมากดดันตลาด

ประเด็นสำคัญ

• ศาล รธน. มีมติเอกฉันท์รับคำร้องกรณีคลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกฯ และสมเด็จฮุน เซน และสั่งนายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว. คมนาคมขึ้นรักษาการแทน ทั้งนี้ นายกฯ แพทองธาร ยังสามารถเข้าร่วมประชุม ครม. หลังการโปรดเกล้าฯ เนื่องจากอยู่ในตำแหน่ง รมว. วัฒนธรรม

• จำนวน นทท. ต่างชาติเดินทางเข้าไทยในสัปดาห์ก่อนเพิ่มขึ้น 9.1%WoW หนุนจากกลุ่ม นทท. ระยะใกล้ (มาเลเซียและอินโดนีเซีย) เนื่องจากอยู่ในช่วงวันหยุดยาวของชาวมุสลิม ทำให้จำนวน นทท. สะสมช่วง 1H68 ที่ 16,685,466 คน ลดลง 4.7%YoY สร้างรายได้จากการท่องเที่ยวแล้ว 7.7 แสนลบ.

• ครม. ขยายเวลาลงทะเบียนโครงการ “คนสู้เราช่วย” จนถึงวันที่ 30 ก.ย. นี้ จากเดิมที่สิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย. รวมถึงปรับปรุงเงื่อนโครงการเพื่อให้สามารถช่วยเหลือลูกหนี้ได้ครอบคลุมได้มากขึ้น มองเป็นกลางและกระทบจำกัดต่อกลุ่มธนาคาร หนุนคุณภาพสินทรัพย์ ช่วยลดการตั้งสำรอง แต่หักล้างด้วยส่วนต่างดอกเบี้ยที่ลดลง

• วันแรกในการเปิดลงทะเบียนโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” ได้รับความสนใจจำนวนมากและเกิดความขัดข้องด้านระบบ รมว. ท่องเที่ยวฯ สั่งเร่งแก้ไขปัญหาและเผยว่าอาจมีการเพิ่มจำนวนสิทธิ์และวงเงินของโครงการเพิ่มอีก หากโครงการได้รับการตอบรับดี

• ประธานเฟดเผยว่านโยบายการเงินในปัจจุบันอาจมีท่าทีที่ผ่อนคลายมากขึ้นแล้ว หาก ปธน. ทรัมป์ไม่ได้ประกาศการเรียกเก็บภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้าในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้เฟดต้องชะลอการผ่อนคลาย เนื่องจากมองว่ามาตรการดังกล่าวทำให้คาดการณ์เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะฯ

กลยุทธ์การลงทุน

ช่วงสั้นมอง SET จะแกว่งตัวไซด์เวย์และผันผวนต่อ หลังยังรอความชัดเจนของปัจจัยทั้งในและนอกประเทศ โดยปัจจัยภายนอกติดตามสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐฯ หลังใกล้เส้นตาย 9 ก.ค. ขณะที่ปัจจัยภายในติดตามเสถียรภาพทางการเมืองและปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา อย่างไรก็ดีเราประเมิน SET ที่บริเวณต่ำกว่า 1100 จุด คิดเป็น PER ปี 2568 ต่ำกว่า 12 เท่า ยังเป็นจุดที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะกลาง-ยาว โดยกลยุทธ์ลงทุนคงแนะนำให้ “Selective Buy”

ล็อกเป้าลงทุนประจำสัปดาห์

มอง SET แกว่งตัวไซด์เวย์และยังผันผวนต่อ เนื่องจากยังรอความชัดเจนทั้งปัจจัยภายนอก (ความคืบหน้าการเจรจาทางการค้ากับสหรัฐหลังใกล้เส้นตาย 9 ก.ค.) ขณะที่ปัจจัยภายในติดตามเสถียรภาพทางการเมืองและปัญหาความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา กลยุทธ์ลงทุนจึงแนะนำให้ “Selective Buy” ใน 3 ธีม หลักและ 2 ธีมเทรดดิ้ง ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้ 

1. หุ้น Defensive ที่ผันผวนต่ำและผลการดำเนินงานต้านทานความเสี่ยงภายนอกได้ (ผลกระทบจำกัดจากปัจจัยภายในและภายนอก) อีกทั้งยังมีศักยภาพจ่ายปันผลสม่ำเสมอ แนะนำ ADVANC BCH DIF 

2. หุ้นปันผลที่มีคุณภาพดี (SET50 ที่มี SET ESG Ratings A ขึ้นไป) เพื่อสร้างกระแสเงินสดให้แก่พอร์ตลงทุนในระยะสั้น โดยคาดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไร 1H68 และให้ Div. Yield เกิน 2% แนะนำ ADVANC BBL PTT 

3. หุ้น Earnings Play ซึ่งโมเมนตัมกำไรยังเติบโตแข็งแกร่ง โดย 2Q68 คาดกำไรปกติจะเติบโตได้ทั้ง YoY และ QoQ แนะนำ ADVANC CPALL BTG 

4. Trading Idea: สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูงและต้องการเก็งกำไร แนะนำ 1) หุ้น Undervalue (PER PBV < -1SD) และเราแนะนำ Outperform อีกทั้งคาดให้ Div. Yield ไม่ต่ำกว่าปีละ 3% แนะนำ BBL BDMS CPALL DIF PTT SIRI TIDLOR และ 2) หุ้นที่มีโอกาสได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐอย่างกลุ่มปูนซีเมนต์และท่องเที่ยว แนะนำ SCC SCCC ERW CENTEL AAV

DAILY TOP PICKS

KTB: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น มีโอกาสมีแรงซื้อเข้ามาตามภาพของตลาด เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มธนาคาร มี Upside จากการเพิ่มอัตราการจ่ายปันผลเพิ่ม และ Credit Cost สูงสุดใน1Q68 แล้วมีโอกาสลดลงในช่วงที่เหลือของปี ในขณะที่ความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ต่ำกว่าธนาคารอื่นๆ และมี LLR Coverage สูง

SCC: ราคาหุ้นมีปัจจัยกระตุ้นระยะสั้น จากราคาต้นทุนพลังงานลดลง กำไรปกติปี 2568 มี upside มาจากการเปลี่ยนวิธีบันทึกบัญชีเงินลงทุนใน CAP จากวิธีส่วนได้เสียมารับรู้เฉพาะรายได้เงินปันผล ซึ่งจะทำให้กำไรปกติของ SCC ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทจะไม่ต้องรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนจาก CAP คาดกำไรปีนี้จะกลับมาเติบโตสูง แม้ว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำ
 
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 02 ก.ค. 2568 เวลา : 11:50:57
05-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ก.ค.2568) ลบ 7.27 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.94 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และ แนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ก.ค.68) ลบ 3.23 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,123.96 จุด

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) บวก 344.11 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรแข็งแกร่งเกินคาด

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) ลบ 16.80 เหรียญ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย หลังจ้างงานแกร่งเกินคาด

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 30-40%

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ก.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ก.ค. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,000 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ก.ค.68) บวก 0.56 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.77 จุด

11. ประกาศ กปน.: 19 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

12. ตลาดหุ้นปิด (3 ก.ค.68) บวก 11.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.21 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ก.ค.68) บวก 3.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.36 จุด

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 ก.ค.68) ภาคตะวันออก ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่น 70% เว้นภาคใต้ 60%

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ก.ค.68) ลบ 10.52 จุด กังวลจ้างงานภาคเอกชนลดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 5, 2025, 12:33 am