แบงก์-นอนแบงก์
KKP ผนึกกำลัง Goldman Sachs Asset Management เปิดมุมมองลงทุนครึ่งปีหลัง ชูพอร์ตคุณภาพ - หุ้นเด่น - ทองคำ - เทคโนโลยี เจาะโอกาสทองฝ่าคลื่นความผันผวนโลกปี 69


กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ร่วมกับ Goldman Sachs Asset Management ชี้เศรษฐกิจโลกครึ่งหลังปี 2568 อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ท่ามกลางแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์และการค้าสหรัฐ–จีน คาดดอกเบี้ยนโยบายไทยมีแนวโน้มลดลงแตะ 1.0% แนะกลยุทธ์ปั้นพอร์ต เน้นหุ้นคุณภาพ (Quality) และ หุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive) เพื่อรักษาเสถียรภาพพอร์ตท่ามกลางความผันผวน พร้อมชู 4 กลุ่มดาวเด่นปี 2569 ได้แก่ Healthcare, หุ้นยุโรป, หุ้นอินเดีย และพลังงานนิวเคลียร์ ณ งานสัมมนา KKP 2025 Mid-Year Review: The Power of Two ซึ่งจัดขึ้น ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 

 
ไฮไลท์หนึ่งจากงานสัมมนาได้แก่เวทีของ Timothy Moe, Chief Asia Pacific Regional Equity Strategist and Co-Head of Macro Research in Asia, Goldman Sachs ชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ยังเติบโตแต่เริ่มชะลอตัว โดยมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนด้านภาษีและภูมิรัฐศาสตร์ พร้อมแนะนำให้นักลงทุนเน้นโอกาสเฉพาะตัว (idiosyncratic opportunities) ที่ไม่พึ่งพาปัจจัยมหภาคมากนัก

 
ในกรณีที่ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นจากความขัดแย้งในอิหร่าน หากน้ำมันพุ่ง 10% อาจฉุด GDP โลกลง 0.1% และดันเงินเฟ้อเพิ่ม 0.2% อย่างไรก็ดี ในภาวะที่น้ำมันแพงและภูมิรัฐศาสตร์ผันผวน ตลาด ASEAN-4 หุ้นสินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive) มีโอกาสให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาดหุ้นเอเชียในภาพรวม

สำหรับฝั่งสหรัฐฯ Goldman Sachs ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP และลดโอกาสเกิดภาวะถดถอยเล็กน้อย จากแรงกดดันภาษีที่ผ่อนคลายลง แต่ยังคงกังวลเรื่องวินัยการคลังที่อาจกดดันค่าเงินดอลลาร์และตลาดพันธบัตร โดยคาดว่า S&P 500 จะให้ผลตอบแทนราว 4-5% ในอีก 12 เดือน หากไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และประเมินเป้าดัชนีที่ระดับ 6,500 จุด
 
ในกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์แนะนำลงทุนทองคำในภาวะที่ความไม่แน่นอนยังสูง ตลาดกังวลความเสี่ยงด้านสถาบันในสหรัฐฯ และแรงซื้อจากธนาคารกลางทั่วโลกที่ยังแข็งแกร่ง สำหรับตลาดหุ้นเอเชีย ให้ปรับน้ำหนักโดยเพิ่มเกาหลีใต้ ไต้หวัน และกลุ่มเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ และลดน้ำหนักสิงคโปร์และอินโดนีเซีย ส่วนจีนและญี่ปุ่นยังแนะนำให้คงถือมากกว่ามาตรฐานเช่นกัน 
 
กลยุทธ์การลงทุนครึ่งปีหลังเน้นไปที่หุ้นที่ได้อานิสงส์จากเงินดอลลาร์อ่อน หุ้นที่มีการคืนกำไรผู้ถือหุ้นสูง กำไรคุณภาพดี แนวโน้มถูกปรับประมาณการขึ้น รวมถึงหุ้นกลุ่ม Aerospace & Defense  กลุ่ม AI และกลุ่มที่ได้แรงหนุนจากนโยบายรัฐจีน

 
ด้าน ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ บล.เกียรตินาคินภัทร เผยว่าเศรษฐกิจไทยยังเผชิญแรงต้านรอบด้าน โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวซึ่งเคยเป็นแรงขับเคลื่อนหลัก กลับเริ่มชะลอตัวลงจากจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ความไม่แน่นอนจากการเจรจาการค้าแบบต่างตอบแทน (reciprocal trade) ยังคงเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ขณะเดียวกัน การก่อหนี้ที่ลดลงในภาคการเงิน (financial deleveraging) ได้ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ในประเทศ 

ในอีกทางหนึ่ง แม้จะมีความจำเป็นในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่นโยบายการคลังก็มีข้อจำกัด เนื่องจากระดับหนี้สาธารณะที่สูง การออกมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติมอาจต้องพิจารณาการปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยควรมุ่งเน้นไปที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว ด้านนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำอยู่แล้วทำให้มีขอบเขตในการดำเนินนโยบายจำกัด ธนาคารกลางอาจต้องพิจารณาแนวทางที่แตกต่างจากเดิม (unconventional policy) เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงอัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ โดยยังคงประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยอาจลดลงสู่ระดับ 1.0%

ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศยังคงสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ขณะเดียวกัน ค่าเงินบาทยังคงมีปัจจัยพื้นฐานที่อ่อนแอ สะท้อนถึงความเปราะบางทางเศรษฐกิจในภาพรวม ไทยจึงจำเป็นต้องเร่งเดินหน้าวาระการปฏิรูปเชิงโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพการเติบโตในระยะยาว ทั้งในด้านแรงงาน การศึกษา นวัตกรรม กฎระเบียบ และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ

ด้าน นายทวีศักดิ์ เผ่าพัลลภ หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจและการลงทุน (CIO Office) บล.เกียรตินาคินภัทร เผยว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอาจเผชิญแรงขายในระยะสั้นจากผลกระทบภาษีนำเข้าและนโยบายกีดกันการค้า แต่คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวได้ดีในปี 2569 หนุนโดยมาตรการกระตุ้นจากสหรัฐฯ และยุโรป โดยเฉพาะการลดภาษีในสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะหนุน GDP ปี 2569 เพิ่ม 0.5% และกำไรต่อหุ้นปรับขึ้นกว่า 5% 

บล.เกียรตินาคินภัทรยังคงคำแนะนำการลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ อย่างเต็มที่ตามสัดส่วนที่เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้ (fully invest) และมองว่าระดับดัชนี S&P 500 ที่ 5,800 จุดเป็นโอกาสในการทยอยเข้าลงทุน โดยมีเป้าหมายกลางปี 2569 ที่ระดับ 6,500 จุด พร้อมเน้นการถือหุ้นคุณภาพ (Quality) และ หุ้นกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive) ซึ่งมีพื้นฐานค่อนข้างแข็งแกร่ง ความเสี่ยงต่ำ และมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ เพื่อรักษาเสถียรภาพพอร์ตท่ามกลางความผันผวน 
หุ้นดาวเด่นที่ควรมีในพอร์ตลงทุน:

1. หุ้น Healthcare: เด่นจาก valuation ที่ยังต่ำ กำไรฟื้นตัว และแนวโน้มการเติบโตระยะยาวจากโครงสร้างประชากรสูงวัย รวมถึงโอกาสควบรวมกิจการในกลุ่ม Biotech ที่จะเป็นแรงส่งเพิ่มเติม

2. หุ้นยุโรปในสกุลเงินยูโร: ได้อานิสงส์จากนโยบายการคลังของเยอรมนี การลดดอกเบี้ยของ ECB และ P/E ยังต่ำกว่าหุ้นโลกเฉลี่ย 10% ทำให้น่าสนใจทั้งด้าน valuation และแนวโน้มกำไรเป็นได้ทั้งการลงทุนเชิงรุกในหุ้นโลกและช่วยกระจายความเสี่ยงค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ

3. หุ้นอินเดีย: ได้แรงหนุนจากโครงสร้างประชากร เสถียรภาพการเมือง และการกระจายฐานการผลิตจากจีน แม้ valuation สูง แต่ยังน่าสนใจจากศักยภาพการเติบโตที่ 10–15% ต่อปี

4. หุ้นพลังงานนิวเคลียร์: เป็นโอกาสลงทุนระยะยาวที่น่าสนใจจากแนวโน้มการใช้ไฟฟ้าที่เติบโตเร็วตามเทรนด์ electrification และความต้องการของ data center มีจุดเด่นคือผลิตไฟฟ้าได้เสถียร ต้นทุนต่ำและไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเดินเครื่องโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ความต้องการแร่ยูเรเนียมขยายตัวขึ้น บล.เกียรตินาคินภัทรลดน้ำหนักตราสารหนี้โลกลงมาเป็น “Neutral” จากความกังวลเรื่องหนี้สาธารณะสหรัฐฯ และแรงกดดันเงินเฟ้อ แต่ยังแนะนำลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพสูง อายุ 3–5 ปี ที่ได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง ขณะที่ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยงจากความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์  หุ้นไทย แนวโน้มยังอ่อนแรง คงมุมมองระมัดระวังต่อหุ้นไทยในครึ่งปีหลัง โดยประเมินกรอบดัชนีที่ 1,000–1,300 จุด จากแรงกดดันเศรษฐกิจในประเทศ ความไม่แน่นอนทางการเมือง และแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติ แนะนำกระจายการลงทุนไปยังตลาดต่างประเทศที่มีแนวโน้มดีกว่า

 
ทั้งนี้ ภายในงาน นายณฤทธิ์ โกสาลาทิพย์ กรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสายงานที่ปรึกษาและบริหารการลงทุนลูกค้าบุคคล บล.เกียรตินาคินภัทร และ Ronald Lee, Head of Goldman Sachs Private Wealth Management in Asia Pacific and Co-Head of the Client Solutions Group in Asia Pacific, Goldman Sachs Asset Management ร่วมเปิดงานโดยกล่าวถึงความสำคัญของความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ ตอกย้ำแนวทางบริหารความมั่งคั่งสำหรับนักลงทุนไทย ในขณะที่ภายในงานสัมมนา ผู้เชี่ยวชาญของทั้งสององค์กร ร่วมถ่ายทอดมุมมองเศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุน เช่น การจัดพอร์ตให้ตอบโจทย์ตลาดจริง กลยุทธ์การเลือกหุ้นเชิงรุกทั้งหุ้นนอกและหุ้นไทย ตลอดจนการลงทุนทางเลือกในสินทรัพย์นอกกรอบแบบเดิม เพื่อช่วยให้นักลงทุนเห็นภาพรวมและปรับใช้กับแนวทางการลงทุนของตนได้มีประสิทธิภาพ 

ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระหว่าง KKP และ GSAM เกิดขึ้นภายใต้แนวคิด “The Power of Two. One Philosophy of Wealth.” หรือการเชื่อมโยงความแข็งแกร่งระดับโลกสู่นักลงทุนไทย ผ่านการร่วมกันพัฒนาพอร์ตต้นแบบที่มีกลยุทธ์การลงทุนแบบหลากหลายสินทรัพย์ (Multi-Asset Strategy) และบริการ Discretionary Portfolio Management (DPM) ที่ปรับตามภาวะตลาดอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ลูกค้าได้รับผลตอบแทนและความเสี่ยงที่เหมาะสม เป็นไปตามความมุ่งมั่นที่ชัดเจนของ KKP ในการส่งมอบข้อมูลและโซลูชันการลงทุนระดับโลก ให้นักลงทุนไทยสามารถฝ่าความผันผวน และเติบโตอย่างยั่งยืน
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 04 ก.ค. 2568 เวลา : 16:25:09
05-07-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (4 ก.ค.2568) ลบ 7.27 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.94 จุด

2. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีแนวรับอยู่ที่ระดับ 3,320 เหรียญ และ แนวต้านอยู่ที่ระดับ 3,350 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (4 ก.ค.68) ลบ 3.23 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,123.96 จุด

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) บวก 344.11 จุด ขานรับตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรแข็งแกร่งเกินคาด

5. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (3 ก.ค.68) ลบ 16.80 เหรียญ กังวลเฟดชะลอลดดอกเบี้ย หลังจ้างงานแกร่งเกินคาด

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (4 ก.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคกลาง 60% ภาคใต้ 30-40%

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (4 ก.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.43 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (4 ก.ค. 68) ลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 52,000 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (4 ก.ค.68) บวก 0.56 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.77 จุด

11. ประกาศ กปน.: 19 ก.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำมีนบุรี

12. ตลาดหุ้นปิด (3 ก.ค.68) บวก 11.52 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,127.21 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ก.ค.68) บวก 3.67 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,119.36 จุด

14. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 ก.ค.68) ภาคตะวันออก ฝนตกหนัก 80% กรุงเทพปริมณฑล และภาคอื่น 70% เว้นภาคใต้ 60%

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ก.ค.68) ลบ 10.52 จุด กังวลจ้างงานภาคเอกชนลดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ July 5, 2025, 12:37 am