เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : ทรัมป์เล็งเก็บ ภาษีหนังต่างประเทศ 100% คาดกีดกันวัฒนธรรมอื่นก่อนกลายเป็นกระแสหลัก


เพื่อที่จะรักษาความเป็นประเทศมหาอำนาจในบทบาทของผู้นำบนเวทีโลก นอกเหนือจากจะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้ากับบรรดาประเทศคู่ค้าต่าง ๆ แล้ว สหรัฐอเมริกายังคงเดินหน้ากีดกันไม่ให้วัฒนธรรมอื่นได้ขึ้นมาเป็นใหญ่ทัดเทียมกับตน อย่างการที่ โดนัลท์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศเตรียมที่จะเก็บภาษีในอัตราถึง 100% กับภาพยนตร์จากต่างประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นหนึ่งใน Soft Power ชั้นดีของการสร้างอำนาจต่อรองระดับนานาชาติ ที่สหรัฐหมายหัวว่าเป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดไม่แพ้กับเรื่องการขาดดุลทางการค้าเลย
 
แม้ว่าสหรัฐอเมริกา จะไม่ใช่ประเทศที่มีรากเหง้าวัฒนธรรมที่เก่าแก่เมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนานกว่า แต่ด้วยการเป็นศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลกตั้งแต่ศตวรรษที่ 20 ที่สหรัฐมีศักยภาพทางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศอื่นที่ได้รับผลกระทบจากช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และยังเป็นผู้นำในโลกเสรีประชาธิปไตยที่ทั้งพันธมิตรและประเทศกำลังพัฒนาต้องพึ่งพาเงินทุนจากตลาดสหรัฐแล้วด้วยนั้น ทำให้อุตสาหกรรมบันเทิง เช่น เพลง Jazz, Rock, Hip-hop รวมถึงโรงงานผลิตภาพยนตร์ Hollywood เข้าสู่ยุคทองตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 และเผยแพร่ไปยังทั่วโลก โดยผลผลิตเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับความเป็น “American Dream” หรืออุดมคติที่เน้นย้ำถึงสิทธิเสรีภาพ และความเท่าเทียมกัน ที่ไม่ว่าจะเติบโตมาในสังคมไหนหรือชนชาติใดก็มีโอกาสประสบความสำเร็จในชีวิตได้ผ่านภาพลักษณ์ของความเป็น American ซึ่งจัดเป็น Soft Power ที่สร้างอิทธิพลและความนิยมผ่านความน่าดึงดูดทางวัฒนธรรม ที่เรียกว่าเป็น “Pop Culture” หรือวัฒนธรรมป็อประดับสากลที่สหรัฐอเมริกาเป็นศูนย์กลางนั่นเอง
 
กล่าวคือทั้งภาพยนตร์ เพลง รวมถึงสินค้าต่าง ๆ ของสหรัฐที่ยึดโยงเข้ากับภาพลักษณ์โลกเสรี เมื่อเกิดการเผยแพร่ออกไปในบทบาทของศูนย์กลางระบบทุนนิยมโลก ก็ทำให้ Pop Culture ที่เพิ่งเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 20 กลายเป็นวัฒนธรรมสากลที่คนทั่วโลกซึมซับไปโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะภาพยนตร์สัญชาติอเมริกัน ที่เราต่างเรียกกันว่า “หนังสากล” ก็เป็นสื่อในการเผยแพร่วัฒนธรรมดังกล่าวชั้นดี โดยมันได้สร้างอิทธิพลทั้งด้านความคิด ทัศนคติ ไปจนถึงการบริโภคให้กับผู้คนทั่วโลก ซึ่งเป็นเครื่องมือที่วางรากฐานอำนาจของสหรัฐให้เข้มแข็งครอบคลุมทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันว่าประเทศนี้สามารถกำหนดทิศทางและนโยบายระดับนานาชาติในฐานะผู้มีอำนาจต่อรองที่มากกว่า
 
แต่ในช่วงไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาที่วัฒนธรรมจากประเทศอื่นได้ก้าวขึ้นมามีบทบาทในเวทีโลกมากขึ้น เช่น K-Pop จากเกาหลีใต้ ที่ส่งออกภาพยนตร์ซีรี่ย์เกาหลี ไอดอล Girl Group และ Boy Group วงต่าง ๆ มากมาย ซึ่งแน่นอนว่าได้สอดแทรกความเป็นวัฒนธรรมเกาหลีเอาไว้จนประเทศนี้สามารถสร้างอำนาจต่อรองทางเศรษฐกิจได้ เช่น วัฒนธรรมการกิน ที่เกิดร้านอาหารเกาหลีตั้งอยู่ทั่วโลก ทั้งแบบ Traditional ไปจนถึงลูกผสมอย่างร้านไก่ทอดแบบเกาหลี Corn Dog หรือ Donut สไตล์เกาหลีที่ตีตลาดทั่วโลกไม่เว้นแม้กับสหรัฐที่เป็นประเทศต้นกำเนิดของขนมสองชนิดนี้ก็ตาม หรือจะเป็น K-Beauty ที่ทำให้เครื่องสำอางเกาหลีสามารถเบียดแซงกับเครื่องสำอาง และ Beauty Standard ของสหรัฐได้ ซึ่งมันยังมีการเผยแพร่วัฒนธรรมในแง่ต่าง ๆ อีกมากที่กินส่วนแบ่ง Market Share กับสหรัฐแบบนี้ (อย่างประเทศไทยที่ T-Pop เริ่มดังขึ้นมา ก็เป็นการเผยแพร่ Soft Power ที่สร้างอำนาจต่อรองในระดับเศรษฐกิจเช่นกัน) ทำให้สถานะความเป็นพี่ใหญ่ของสหรัฐอาจไม่มั่นคงเหมือนศตวรรษก่อนอีกต่อไป มันจึงดีกว่าที่จะสกัดดาวรุ่งเพื่อรักษาอำนาจของตัวเองให้คงเดิม
 
ซึ่งยิ่งในยุคของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวคิดทางการเมืองแบบอนุรักษ์นิยม ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำสหรัฐคนปัจจุบัน เราจึงได้เห็นการออกมาตรการที่มุ่งเน้นผลประโยชน์ของประเทศและคนอเมริกาเป็นอันดับแรก ตามนโยบาย “America First” ที่ครอบคลุมตั้งแต่การดำเนินมาตรการกีดกันทางการค้าด้วยการขึ้นภาษีสินค้านำเข้า และมาถึงช่วงล่าสุดเมื่อวันที่ 29 ก.ย. 2568 ที่ทรัมป์ประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีศุลกากรในอัตราสูงถึง 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศทั้งหมด โดยเขาอ้างว่า “อุตสาหกรรมภาพยนตร์ของอเมริกาถูกประเทศอื่นขโมยไป เหมือนกับการแย่งขนมจากเด็กทารก” ซึ่งก็สะท้อนถึงแนวคิดชาตินิยมทางวัฒนธรรมที่ทรัมป์อยากจะเรียกคืนสิทธิการเป็นเจ้าของ Pop Culture และลดอิทธิพลของวัฒนธรรมภายนอกไม่ให้มีโอกาสมาตีเสมอสหรัฐได้
 
เพียงแต่คำขู่ดังกล่าว ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทรัมป์จะใช้อำนาจทางกฎหมายใดในการเรียกเก็บภาษี 100% กับภาพยนตร์ที่ผลิตในต่างประเทศ เพราะภาพยนตร์มักถูกจัดเป็นสินทรัพย์ทางปัญญา มากกว่าสินค้าทางกายภาพ ซึ่งอยู่นอกกรอบกฎหมายการค้าแบบดั้งเดิมที่ครอบคลุมเพียงสินค้าทั่วไป และความเป็นไปได้ในภาคปฏิบัติว่าจะจัดประเภท “ภาพยนตร์ต่างประเทศ” ได้อย่างไร เมื่อการผลิตภาพยนตร์สมัยใหม่มักมีการจัดหาเงินทุน โลเคชั่นถ่ายทำ การจ้างทีมงาน และ Post Production กระจายอยู่ในหลายประเทศ ซึ่งก็ยังเป็นประเด็นที่ต้องจับตาดูกันต่อไป อย่างไรก็ตาม ด้วยความทรงอิทธิพลของสหรัฐที่ยังมีอยู่ใน ณ เวลานี้ ก็ทำให้หุ้นของ Netflix ลดลง 1.5% ทันทีในช่วงต้นของการซื้อขายหลังจากมีการประกาศดังกล่าวนี้

LastUpdate 02/10/2568 00:01:29 โดย : Admin
03-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (3 ต.ค.68) บวก 4.16 จุด ดัชนี 1,292.45 จุด

2. MTS Gold คาดราคาทองคำ อยู่ในแนวโน้ม Sideway Up แต่ในระยะสั้นปรับตัวลงจากแรงเทขายทำกำไรหลังพุ่งขึ้นไปทำนิวไฮที่ 3,897 เหรียญ

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (2 ต.ค.68) ลบ 29.4 ดอลลาร์ หลังประธานเฟดสาขาดัลลัสแนะใช้ความระวังลดดอกเบี้ย

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (2 ต.ค.68) บวก 78.62 จุด รับปัจจัยหนุนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่ง

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (3 ต.ค.68) กรุงเทพปริมณฑล-ภาคใต้ ฝั่ง ตต. ฝนฟ้าคะนอง 60% ภาคเหนือ-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ ฝั่ง ตอ. 40% ภาคอีสาน 30%

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60 บาท/ดอลลาร์

7. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (3 ต.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 32.47 บาทต่อดอลลาร์

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (3 ต.ค. 68) ลดลง 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 60,050 บาท

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (3 ต.ค.68) บวก 2.04 จุด ดัชนี 1,290.33 จุด

10. ประกาศ กปน.: 9 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำประชานุกูล

11. ตลาดหุ้นปิด (2 ต.ค.68) บวก 13.26 จุด ดัชนี 1,288.29 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (2 ต.ค.68) บวก 15.63 จุด ดัชนี 1,290.66 จุด

13. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (uptrend) อย่างต่อเนื่อง กรอบแนวรับระยะสั้นวันนี้ที่ 3,840-3,820 เหรียญ แนวต้านที่ 3,890-3,910 เหรียญ

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (2 ต.ค.68) บวก 9.72 จุด ดัชนี 1,284.75 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (1 ต.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 24.3 ดอลลาร์ ชัตดาวน์หน่วยงานสหรัฐหนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 3, 2025, 4:00 pm