หุ้นทอง
ปี 2567 โลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า


จากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 Report ที่จัดทำโดย Joint Research Centre (JRC) สหภาพยุโรป ได้รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทุกประเทศทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2567 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา พบว่า

 · ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) เพิ่มขึ้น 1.3% จากปี 2566 โดย 74.5% ของปริมาณการปล่อยก๊าซ เรือนกระจกทั้งหมดเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil CO2) และอุตสาหกรรมพลังงาน (Power Industry) เป็นแหล่งปล่อยใหญ่ที่สุดประมาณ 30%

 · จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลกและทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 16,536 ล้านตัน CO2eq หรือ คิดเป็น 29.2% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่ง 84.5% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของจีนเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากอุตสาหกรรมพลังงาน

 · กลุ่มประเทศอาเซียนปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,226 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 146 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 4.7% จากปี 2566 สูงกว่าภาพรวมโลก โดยอินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในอาเซียนและสูงเป็นอันดับ 5 ของโลก ตามมาด้วยเวียดนาม และไทย ส่วนบรูไนปล่อยก๊าซน้อยที่สุดในอาเซียน

 · ประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นอันดับ 21 ของโลก (อันดับ 3 ในอาเซียน) ด้วยปริมาณ 422 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 2.9% จากปี 2566 โดย ก๊าซเรือนกระจกส่วนใหญ่ (67.2%) เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ แหล่งปล่อยก๊าซฯ หลัก คือ อุตสาหกรรมพลังงาน 

หมายเหตุ: ในการศึกษานี้เป็นการเปรียบเทียบโดยใช้ข้อมูลเชิงตัวเลข (Absolute Amount) ไม่ได้ใช้ข้อมูลเชิงสัมพัทธ์ เช่น การปล่อยคาร์บอนต่อหัวประชากร (emission per capita) ซึ่งอาจไม่สะท้อนถึงความสำเร็จของมาตรการของแต่ละประเทศ

ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า
 
ปฏิเสธไม่ได้ว่าโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยเลขาธิการสหประชาชาติประกาศเมื่อเดือนกรกฎาคม 2566 ว่า “เราได้ก้าวข้ามจาก "ภาวะโลกร้อน" (Global Warming) เข้าสู่ "ภาวะโลกเดือด" (Global Boiling) แล้ว” สอดคล้องกับถ้อยแถลงของศาสตราจารย์เซเลสเต เซาโล (Prof. Celeste Saulo) เลขาธิการองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) ในรายงาน State of the Global Climate 20241 ว่า ปี 2567 ทำสถิติใหม่เป็นปีที่ร้อนที่สุดในรอบ 175 ปีโดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกสูงกว่ายุคก่อนอุตสาหกรรมถึง 1.55 องศาเซลเซียส

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบหลายด้าน อุณหภูมิที่สูงขึ้นทำให้ทะเลร้อนขึ้นและระดับน้ำทะเลสูงขึ้นและมีความเป็นกรดเพิ่มขึ้น ธารน้ำแข็งขั้วโลกละลายเร็วขึ้น ลมพายุรุนแรงขึ้น จนทำให้เกิดภัยธรรมชาติรุนแรงบ่อยขึ้น สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบนิเวศโลก สาเหตุสำคัญที่ทำให้โลกมีอุณหภูมิที่สูงขึ้นล้วนมาจากกิจกรรมของมนุษย์เป็นหลัก ทั้งการผลิตและการบริโภคที่เกินความจำเป็น การเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลในภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง และการผลิตไฟฟ้า รวมถึงการตัดไม้ทำลายป่าและการขยายตัวของเมือง กิจกรรมเหล่านี้ล้วนเร่งให้ความเข้มข้นของก๊าซเรือนกระจก (ก๊าซฯ) ในชั้นบรรยากาศเพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งยังลดทอนความสามารถของธรรมชาติในการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ นำมาสู่สถานการณ์อันน่ากังวลดังปรากฏในปัจจุบัน

ปี 2567 ทั่วโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

จากรายงาน GHG Emissions of All World Countries 2025 Report ที่จัดทำโดย Joint ResearchCentre (JRC) สหภาพยุโรป ได้รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซฯ2 ของทุกประเทศทั่วโลกที่เกิดขึ้นในปี 2567 เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2568 ที่ผ่านมา3 ว่า จากข้อมูลสถิติล่าสุดในฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลก (Emissions Database for Global Atmospheric Research: EDGAR)4 พบว่า ในปี 2567 ทั่วโลกปล่อยก๊าซฯ5รวมสูงถึง 53,200 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq)6 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเพิ่มขึ้น 665 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 1.3% จากปี 2566

โดยประมาณ 74.5% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดที่ปล่อยทั่วโลก เป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (fossil CO2) และอุตสาหกรรมพลังงานเป็นแหล่งปล่อยใหญ่ที่สุดประมาณ 30% 

 

 

และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2558 - ปี 2567) พบว่า การปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (ภาพที่ 1) แม้จะลดลงเล็กน้อยในปี 2563 จากการชะลอตัวของภาวะเศรษฐกิจในช่วงการแพร่ระบาดรุนแรงของ COVID-19 ก่อนกลับมาเพิ่มสูงขึ้นและ7แตะระดับสูงสุดใหม่ในปี 2567 (หรือเติบโตเฉลี่ย 1.05% ต่อปีในช่วง 10 ปี)

จีนปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ด้วยปริมาณมากกว่า 1 ใน 4 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
 
จากฐานข้อมูลการวิจัยการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลกรายประเทศ8 พบว่า 10 กลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซฯ สูงสุดในปี 2567 ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป (EU27)9 อินเดีย รัสเซีย อินโดนีเซีย บราซิล ญี่ปุ่น อิหร่าน และซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวม 37,141 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็น69.7% ของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวมทั่วโลก (ตารางที่ 1) โดย 9 อันดับแรกมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯสูงกว่า 1,000 ล้านตัน CO2eq

เมื่อพิจารณาปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ระยะยาวของกลุ่มหรือประเทศที่ปล่อยก๊าซฯ สูงสุด 10 อันดับแรกของโลกในปี 2567โดยเปรียบเทียบข้อมูลปี 2567 กับปี 2533 ซึ่งเป็นปีฐาน (baseline year) ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change) และพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol)10 พบว่า

สหภาพยุโรป (EU27) ลดการปล่อยก๊าซฯ ได้มากที่สุด โดยลดลงเกือบ 35% จากปี 2533 ตามมาด้วยรัสเซียลดลง 15.7% และสหรัฐอเมริกาลดลงเกือบ 5% ขณะที่กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะจีน อินโดนีเซีย เพิ่มขึ้นประมาณสามเท่า ขณะที่อินเดีย อิหร่าน ซาอุดิอาระเบีย เพิ่มขึ้นประมาณสองเท่า และบราซิลเพิ่มขึ้นหนึ่งเท่าตัว

 

 

เมื่อเปรียบเทียบปี 2567 กับปี 2566 พบว่า ในปี 2567 จีนปล่อยก๊าซฯ สูงสุดในโลก และทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 15,536 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็น 29.2% ของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ทั่วโลก โดยมีสาเหตุหลักจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ซึ่ง 84.5% ของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของจีนเป็นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่มีแหล่งปล่อยก๊าซฯ หลักคืออุตสาหกรรมพลังงาน รองลงมาคือการเผาไหม้ในภาคอุตสาหกรรม และกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรม ตามลำดับ ทั้งนี้ ยังพบว่า จีนปล่อยก๊าซฯ สูงมากกว่า 2 เท่าของสหรัฐอเมริกาที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของโลก

ในปี 2567 อินเดีย จีน รัสเซีย อินโดนีเซีย 4 ประเทศที่ปริมาณการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นสูงสุดเมื่อเทียบกับ ปี 2566 โดยอินเดียมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นสูงสุด 165 ล้านตัน CO2eq ตามมาด้วยจีน 124 ล้านตัน CO2eq ขณะที่รัสเซียและอินโดนีเซียมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกัน คือ 63 ล้านตัน CO2eq และ 62 ล้านตัน CO2eq ตามลำดับ ขณะที่สหภาพยุโรปและญี่ปุ่นลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ได้สูงสุด โดยลดได้ 58 ล้านตัน CO2eq และ 31 ล้านตัน CO2eq ตามลำดับ

กลุ่มประเทศอาเซียนปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวม 3,226 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 146 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 4.7% จากปี 2566 โดยอินโดนีเซียปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในอาเซียน

ในปี 2567 กลุ่มประเทศอาเซียนปล่อยก๊าซฯ รวม 3,226 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 146 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 4.7% จากปี 2566 สูงกว่าภาพรวมของโลกที่เพิ่มขึ้น 1.3% (ตารางที่ 2) ทำให้สัดส่วนการปล่อยก๊าซฯ ของกลุ่มประเทศอาเซียนต่อภาพรวมของโลกเพิ่มเป็น 6.1% จาก 5.9% ในปี 2566 โดยมีสาเหตุหลักจากการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นของอินโดนีเซียและเวียดนามตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

 

หากพิจารณารายประเทศ พบว่า อินโดนีเซียปล่อยก๊าซฯ มากที่สุดในอาเซียน และสูงสุดเป็นอันดับ 5 ของโลก ด้วยปริมาณ 1,323.78 ล้านตัน CO2eq หรือคิดเป็น 41.0% ของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวมทั้งหมดของประเทศในกลุ่มอาเซียนตามมาด้วยเวียดนาม 584.26 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 17 และไทย 422.39 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 21 ขณะที่บรูไนปล่อยก๊าซฯน้อยที่สุด 11.87 ล้านตัน CO2eq อยู่ที่อันดับ 139 จากทั้งหมด 191 ประเทศ

บรูไนและเมียนมาเป็นเพียงสองประเทศที่มีการปล่อยก๊าซฯ ลดลง โดยลดลง 1.6% และ 0.4% จากปี 2566 ขณะที่เวียดนามมีอัตราการเพิ่มขึ้นของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ สูงสุดในอาเซียน โดยเพิ่มขึ้น 7.6% จากปี 2566 ตามมาด้วยสิงคโปร์ 5.1% และอินโดนีเซีย 5.0% ตามลำดับ

ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 21 ของโลก
 
จากฐานข้อมูลพบว่า ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซฯ สูงสุดเป็นอันดับ 21 ของโลก (อันดับ 3 ในอาเซียน รองจากอินโดนีเซียและเวียดนาม) ด้วยปริมาณ 422 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้น 12 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 2.9% ของปี 2566 โดยก๊าซฯ ส่วนใหญ่ประมาณ 67.2% ที่ไทยปล่อยเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ตามมาด้วยก๊าซมีเทน 19.2% กลุ่มก๊าซตระกูลฟลูออโรคาร์บอน 9.3% และก๊าซไนตรัสออกไซด์ 4.3% ตามลำดับ (ภาพที่ 2) โดยการปล่อยก๊าซฯ ในไทยส่วนใหญ่เกิดจากการผลิตไฟฟ้า(Power industry) การขนส่ง (Transport) และกระบวนการผลิต (Processes) ตามตารางที่ 3

 

 
เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบระหว่างปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของไทยจากฐานข้อมูล EDGAR (ตารางที่ 3) และปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงาน ปี 2567 ที่จัดทำโดยศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน (ภาพที่ 3) พบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 245.7 ล้านตัน CO2 เพิ่มขึ้น 1.0% จากปี 2566 สอดคล้องกับการใช้พลังงานของไทยที่เพิ่มขึ้น 1.1% โดยในภาคการผลิตไฟฟ้ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้น 5.1% ส่วนภาคการขนส่ง และภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ (ภาคครัวเรือน เกษตรกรรม พาณิชยกรรม และกิจกรรมอื่น ๆ) ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ เพิ่มขึ้นเท่ากันที่ 0.5% ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ลดลง 4.5% 

จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ทั่วโลกให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการก๊าซฯ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อภาวะโลกเดือดและการเกิดภัยธรรมชาติ โดยเริ่มมีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นระบบก่อนจะนำไปสู่การวางแผนและจัดทำฐานข้อมูลที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็นข้อมูลสนับสนุนในการออกมาตรการควบคุมหรือลดการปล่อยก๊าซฯ สู่ชั้นบรรยากาศ ซึ่งในรายงานฉบับนี้แสดงให้เห็นว่า บางประเทศสามารถลดปริมาณก๊าซฯ ได้แล้วขณะที่ไทยยังมีแนวโน้มปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น และในรายงานฉบับต่อๆ ไปจะนำเสนอถึงปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตลอดจนโอกาส ความท้าทายอันเกิดจากมาตรการต่างๆ ที่ต่างประเทศและไทยประกาศใช้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 09 ต.ค. 2568 เวลา : 17:49:26
10-10-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 15 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนวงศ์สว่าง และถนนรัชดาภิเษก

2. ประกาศ กปน.: 15 ต.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพุทธมณฑลสาย 1

3. ตลาดหุ้นปิด (9 ต.ค.2568) บวก 9.07 จุด ดัชนี 1,313.99 จุด

4. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 ต.ค.68) บวก 7.32 จุด ดัชนี 1,312.24 จุด

5. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 4,000 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 4,045 เหรียญ

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (9 ต.ค.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก" ฝนตกหนัก 70% ภาคใต้ 60% ภาคเหนือ-ภาคอีสาน 30%

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (9 ต.ค. 68) ร่วงลง 350 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 62,800 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (9 ต.ค.68) บวก 6.48 จุด ดัชนี 1,311.40 จุด

9. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (8 ต.ค.68) ทำนิวไฮพุ่ง 66.1 เหรียญ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

10. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (8 ต.ค.68) ลบ 1.20 จุด สวนทาง S&P500,Nasdaq ปิดทำนิวไฮ รับแรงหนุนหุ้นเทคฯพุ่ง

11. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.65 บาท/ดอลลาร์

12. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (9 ต.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์

13. ตลาดหุ้นปิด (8 ต.ค.2568) ลบ 0.32 จุด ดัชนี 1,304.92 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (8 ต.ค.68) บวก 1.41 จุด ดัชนีอ 1,306.65 จุด

15. MTS Gold คาดว่าราคาทองคำจะมีกรอบแนวรับที่ระดับ 3,970 เหรียญ และแนวต้านที่ระดับ 4,020 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ October 10, 2025, 10:09 am