หุ้นทอง
SCB EIC วิเคราะห์ "แนวโน้มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน"


 
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวอยู่ที่ 3.2%YoY คิดเป็นมูลค่าราว 3.4 แสนล้านบาท จากแรงกดดันของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลของทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโต 3.1%YoY มาอยู่ที่ราว 2.8 แสนล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะกระทบความต้องการใช้บริการรักษาพยาบาลโดยเฉพาะกลุ่มผู้ชำระเงินเอง แต่ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มผู้ใช้ประกันสุขภาพเอกชนและกลุ่มประกันสังคมที่มีแนวโน้มเติบโต ส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติมีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.8%YoY ชะลอจากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ, ปัญหาสงครามบริเวณตะวันออกกลาง, การแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งกระทบกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical tourist) โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อยิ่งส่งผลกระทบต่อการเข้ารับรักษาของผู้ป่วยจากกัมพูชาค่อนข้างมาก โดยรายได้จากชาวกัมพูชาในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ อีกทั้ง นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเที่ยวไทยในช่วง 9 เดือนแรกยังลดลงกว่า -7.5%YoY อย่างไรก็ดี รายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติจะได้อานิสงส์จากฐานรายได้ผู้ป่วยคูเวตที่ค่อนข้างต่ำในครึ่งปีหลังของปี 2024 สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพด้านสุขภาพให้กับประชาชนของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งและเปิดเผยราคาค่ายาให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้สิทธิผู้ป่วยเลือกซื้อยาจากภายนอก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้โรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม อีกทั้ง โรงพยาบาลหลายแห่งได้ให้สิทธิผู้ป่วยรับยาจากภายนอกอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจึงอาจใช้สิทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพ ส่วนการขึ้นภาษีนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์ของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลต่อต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชนไม่มากนัก เนื่องจากราคายาและเครื่องมือแพทย์ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยบริษัทยารายใหญ่ส่วนมากได้รับการยกเว้นภาษีจากสหรัฐฯ จากการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ไทยก็เตรียมลดภาษีการนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีตอบโต้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านต้นทุนได้บางส่วน
 
ในปี 2026 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มขยายตัวลดลงเล็กน้อยที่ 3.1%YoY และมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยที่ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวต่ำ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตใกล้เคียงเดิม ประกอบกับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในหลายประเทศที่หดตัวในปี 2025 มีโอกาสกลับเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างเช่น กัมพูชา, คูเวต และจีน หากปัญหาในแต่ละกรณีคลี่คลายลง ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การปรับนโยบายการส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต และความกังวลด้านความปลอดภัยในไทยของชาวจีน นอกจากนี้ รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ทั่วโลกรวมถึงไทย ประกอบกับแนวโน้มการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สูงขึ้นทั่วโลก และไทยยังคงเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับกลุ่ม Medical tourist ทั่วโลก จากคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐานสากลและค่ารักษาพยาบาลที่แข่งขันได้ 
 
ภาวะการแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและการออกโปรโมชันเพื่อจูงใจทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติของผู้ประกอบการเพื่อเร่งดึงดูดผู้ใช้บริการภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง  พร้อมทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับโรงพยาบาลในระดับนานาชาติในการเจาะตลาดกลุ่ม Medical tourism ทั้งในฝั่งอาเซียนและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ หลายเครือโรงพยาบาลยังได้เตรียมเปิดโรงพยาบาลใหม่หรือขยายจำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดิม ซึ่งส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาปริมาณเตียงผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC รวมถึงหลายเครือโรงพยาบาลยังมีแผนขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน เช่น ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง, บริการเพื่อเจาะกลุ่ม Medical tourism และ Aged society รวมถึงบริการด้านเวลเนส ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะในสาขาเฉพาะทาง ซึ่งค่อนข้างขาดแคลนในภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มมากขึ้น
 
3 เทรนด์ที่น่าสนใจของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปี 2025 และในระยะถัดไป ได้แก่ 1. เทรนด์การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว (Longevity) ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้หันมาใช้บริการด้านเวลเนสมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาหารเพื่อสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การเสริมความงาม, เวชศาสตร์ป้องกัน, การดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเวลเนส จึงทำให้ตลาดเวลเนสของไทยมีศักยภาพในการเติบโตอีกค่อนข้างมากในระยะยาว 2. เทรนด์เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health tech) ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษา เช่น การใช้ AI สำหรับการวินิจฉัยโรคหรือการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วย เช่น ระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) หุ่นยนต์พยาบาล และ Telemedicine นอกจากนี้ เทคโนโลยีด้านชีวภาพและยา (Biotech & Pharma) ยังเป็นอีกกลุ่มที่กำลังขยายตัวและสร้างโอกาสในธุรกิจด้านสุขภาพ เช่น กลุ่มโปรตีนทางเลือก, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มยาลดน้ำหนัก GLP-1 3. เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-based care) จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ผู้ป่วยทั่วโลกรวมถึงในไทยมองหาทางเลือกในการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยแนวคิด Value-based care เป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่อิงผลลัพธ์ทางสุขภาพภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมด้วยการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายต่อโรคหรือเหมาจ่ายต่อหัว (Capitation) แทนการคิดค่าใช้จ่ายแบบเดิมที่คิดตามการรักษาในแต่ละบริการ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการรักษา ลดต้นทุนจากการใช้บริการที่เกินจำเป็น และทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น อีกทั้ง แนวคิดนี้ยังช่วยส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่ระบบสาธารณสุขไทย โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของประเทศ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Value-based care ยังเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการแบกรับความเสี่ยงทางการเงิน หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย, ความซับซ้อนของตัวชี้วัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ต้องอาศัยฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ, รวมถึงการปรับระบบการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น

Industry overview
 
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน คือธุรกิจที่ให้บริการทางการแพทย์ภายใต้การบริหารของภาคเอกชน โดยโรงพยาบาลเอกชนในไทย ณ เดือนมิถุนายนปี 2025 มีจำนวนทั้งสิ้น 456 แห่ง คิดเป็นราว 30% ของจำนวนโรงพยาบาลทั่วประเทศ มีเตียงผู้ป่วยรวมกันทั้งสิ้น 4.2 หมื่นเตียง และกว่า 153 แห่งอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้โรงพยาบาลเอกชนสามารถแบ่งประเภทได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น จำนวนเตียง (ขนาดเล็ก, ขนาดกลาง และขนาดใหญ่), ลักษณะการให้บริการ (โรคทั่วไป และเฉพาะทาง), ความซับซ้อนทางการแพทย์ (ปฐมภูมิ, ทุติยภูมิ และตติยภูมิ) และกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมาย (ชาวไทย และชาวต่างชาติ) สำหรับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งสิ้น 27 ราย ครอบคลุมโรงพยาบาลกว่า 180 แห่ง และให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจรในหลากหลายสาขา ประกอบด้วย AHC, BCH, BDMS, BH, CHG, CMR, EKH, HANN, IMH, KDH, LPH, M-CHAI, NEW, NKT, NTV, PHG, PR9, PRINC, RAM, RJH, RPH, SKR ,THG, TNH, VIBHA, VIH และ WPH
 
รูปที่ 1 : ผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
 
หมายเหตุ : *ผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ MAI
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SET 
 
ในปี 2024 ที่ผ่านมา รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขยายตัวปานกลางราว 4.6%YoY อยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท โดยเป็นผลจาก 1. รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยกลับมาขยายตัวที่ 4.2%YoY มาอยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท จากผู้ป่วยในกลุ่มโรคทั่วไปและโรคเรื้อรังที่กลับเข้ามารักษาต่อเนื่องหลังเลื่อนการรักษาออกไปในช่วงโควิด-19 ประกอบกับในปี 2023 รายได้ปรับลดลงตามรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ที่ทยอยหมดไป อาทิ รายได้จากการตรวจหาเชื้อ, การฉีดวัคซีน และการรักษาผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดี รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยยังถูกกดดันบางส่วนจากรายได้ในกลุ่มผู้ใช้สิทธิประกันสังคม หลังสำนักงานประกันสังคมปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) เช่น โรคมะเร็ง และโรคไตวาย ชั่วคราวเนื่องจากงบประมาณจำกัด 2. สำหรับรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติขยายตัว 6.6%YoY มาอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ยังเติบโตต่อเนื่องจากแรงหนุนของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง, จีน และสหรัฐอเมริกา ที่ยังสนใจ Medical tourism ของไทย แต่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ป่วยชาวคูเวตที่ปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี ภายหลังที่รัฐบาลคูเวตอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งต่อผู้ป่วยที่ใช้สิทธิจากรัฐไปยังต่างประเทศ จึงส่งผลให้การส่งผู้ป่วยจากคูเวตเข้าสู่ไทยชะลอตัวลง และกดดันรายได้ของโรงพยาบาลในกลุ่มที่พึ่งพิงผู้ป่วยคูเวตสูง
 
Industry outlook and trend
 
ในปี 2025 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 3.2%YoY คิดเป็นมูลค่าราว 3.4 แสนล้านบาท จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยที่อ่อนตัว กระทบกำลังซื้อด้านการรักษาพยาบาลของทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติ 
 
ในปี 2025 รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโต 3.1%YoY โดยชะลอตัวจากปี 2024 มาอยู่ที่ราว 2.8 แสนล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกดดันกำลังซื้อของชาวไทยและส่งผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาล โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอลงตามการบริโภคภาคเอกชนในครึ่งปีแรกที่เติบโตเพียง 2.3%YoY ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่เติบโตถึง 5.4%YoY ซึ่งกระทบการใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มชำระเงินเอง (Self-pay) ที่มีโอกาสเปลี่ยนไปใช้บริการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยและการบริโภคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ตามแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบภายหลังการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดย SCB EIC ประเมินว่าในปี 2025 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.8%YoY และการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 2.1%YoY อย่างไรก็ดี รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผู้ใช้ประกันสุขภาพเอกชน ซึ่งฐานผู้เอาประกันยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการเร่งทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมในช่วงก่อนที่มาตรการร่วมจ่าย (Copayment) จะมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อีกทั้ง รายได้จากกลุ่มประกันสังคมยังปรับเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการกลับมาจ่ายเงินตามเกณฑ์เดิมสำหรับกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ที่ 12,000 บาท ต่อ AdjRW จากที่ปรับลดลงในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ มาตรการลดค่าครองชีพด้านสุขภาพและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนของกระทรวงพาณิชย์ด้วยการให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งและเปิดเผยราคายาให้ชัดเจน พร้อมกับให้สิทธิผู้ป่วยในการเลือกซื้อยาจากภายนอก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้โรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม ขณะที่การอนุญาตให้รับยาจากภายนอกก็เป็นแนวปฏิบัติที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจึงอาจใช้สิทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพ
 
รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 3.8%YoY มาอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากการบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อกลุ่ม Medical tourism โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังขยายตัวต่อเนื่องจากการเข้ามาของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง อย่างเช่น โอมาน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), ผู้ป่วยจากเมียนมา สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รวมถึงกลุ่ม Expatriate ชาวจีน อย่างไรก็ดี แนวโน้มการขยายตัวของรายได้ดังกล่าวยังได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1. ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และนำไปสู่การปิดด่านพรมแดนตั้งช่วงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยจากกัมพูชาค่อนข้างมาก ทั้งในโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา โรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยจากกัมพูชาในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลของไทยที่ตั้งในกัมพูชา 2. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกหดตัวกว่า -7.5%YoY 3. ผลจากฐานสูงของรายได้จากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากคูเวตในช่วงไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองปี 2024 ก่อนจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี และ 4. สงครามบริเวณตะวันออกกลางช่วงเดือนมิถุนายน รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากตะวันออกกลาง ส่วนในครึ่งปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะได้อานิสงส์จากฐานรายได้ผู้ป่วยคูเวตที่ค่อนข้างต่ำในครึ่งปีหลังของปี 2024 แต่จะถูกกดดันต่อเนื่องจากกำลังซื้อของผู้ป่วยชาวต่างชาติตามภาวะเศรษฐกิจโลกหลังมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ บังคับใช้ อีกทั้ง การแข็งค่าของอัตราค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างต่อเนื่องโดยในเดือนกันยายนอยู่ที่ราว 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อาจส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลในไทยเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินของผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญในด้าน Medical tourism ของไทย 
 
สำหรับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยจัดเก็บภาษียาที่อัตรา 100% ครอบคลุมเฉพาะยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร แต่ยกเว้นให้บริษัทที่เริ่มสร้างโรงงานในสหรัฐฯ แล้ว รวมถึงการจัดเก็บภาษีเครื่องมือแพทย์ตามอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ขณะเดียวกัน ไทยก็เตรียมลดภาษีนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีตอบโต้ ซึ่งคาดว่าผลกระทบโดยรวมต่อต้นทุนการนำเข้าของโรงพยาบาลเอกชนจะค่อนข้างจำกัด โดยการนำเข้ายาที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูงจากสหรัฐฯ อาจไม่ได้รับผลกระทบนักเพราะบริษัทยารายใหญ่ในสหรัฐฯ ส่วนมากได้ลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ อยู่แล้ว จึงเข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีของสหรัฐฯ และทำให้ยาจากสหรัฐฯ ที่ไทยนำเข้าบางส่วนไม่ได้รับผลกระทบตาม ส่วนต้นทุนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์อาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนการผลิตเครื่องมือแพทย์ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น แต่จะได้รับชดเชยบางส่วนจากการลดภาษีนำเข้าของไทย 
 
ในปี 2026 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนคาดว่าจะเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ส่งผลให้รายได้ขยายตัวชะลอลงที่ 3.1%YoY และมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท แต่มีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้นหากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในหลายประเทศที่เคยหดตัวในปี 2025 กลับเข้ามารับการรักษา โดยกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ลดลงที่ 2.9%YoY และมีมูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าขยายตัวเล็กน้อยเพียง 1.5%YoY กับ 1.9%YoY ตามลำดับ แต่รายได้จากกลุ่มประกันสุขภาพเอกชนและประกันสังคมจะยังช่วยผลักดันให้รายได้รวมเติบโตต่อไป นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ของไทยตั้งแต่ปี 2024 จากสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่มากกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด ประกอบกับ ค่าอายุมัธยฐานชาวไทย (Median) ยังเพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 ปี สะท้อนโครงสร้างประชากรที่สูงวัยขึ้น อีกทั้ง สัดส่วนผู้สูงอายุยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2033 จะเป็นปีที่ไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) จากสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งจะช่วยหนุนให้ความต้องการบริการด้านการแพทย์เพิ่มขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ ความต้องการรักษาพยาบาลยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases : NCDs) ที่สูงขึ้น อาทิ โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดในสมอง, โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิต โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจาก 5 โรค NCDs ดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 3%CAGR ในช่วงปี 2013–2023 จนมาอยู่ที่ 1.7 แสนคน โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในส่วนกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 4.3%YoY และมีมูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท จากเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปี 2025 อีกทั้ง มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นหากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่หดตัวในปี 2025 อย่างเช่นชาวกัมพูชา, คูเวตและจีนกลับเข้ามารับการรักษา หากปัญหาในแต่ละกรณีคลี่คลายลง ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การปรับนโยบายการส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต และความกังวลด้านความปลอดภัยในไทยของชาวไทย อย่างไรก็ดี ไทยยังถือเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับกลุ่ม Medical tourism จากจุดแข็งในด้านค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผลและแข่งขันได้, ด้านสถานพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล, ด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาทั้งแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด รวมถึงพนักงานที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก และด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระดับโลก ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เข้ามาพักรักษาพร้อมพักผ่อนกับครอบครัว

รูปที่ 2 : รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทย
หน่วย : แสนล้านบาท
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Enlite
 
Competitive landscape
 
ภาวะการแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเป็นผลมาจากการแข่งขันดึงดูดผู้ป่วยและการขยายขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล ในด้านการแข่งขันดึงดูดผู้ป่วย เนื่องจากความต้องการรักษาพยาบาลถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ผู้ป่วยหันมาเน้นความคุ้มค่าในการเข้ารับการรักษาพยาบาลมากขึ้น ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนต่างต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาและนำเสนอโปรโมชันเพื่อดึงดูดให้ผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการ ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะการเจาะกลุ่มตะวันออกกลาง จากที่โรงพยาบาลหลายแห่งได้จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ พร้อมทั้งจัดโปรโมชัน และขยายเครือข่ายกับทางเอเจนซี เพื่อดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีตัวเลือกในการใช้บริการมากขึ้น ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลเอกชนของไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากโรงพยาบาลในระดับนานาชาติที่ต่างเร่งขยายตลาดในกลุ่มนี้ ทั้งในฝั่งอาเซียน (สิงคโปร์ และมาเลเซีย) และตะวันออกกลาง (ตุรกี, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) 
 
ส่วนในด้านการขยายการบริการ จากผลประกอบการของธุรกิจที่ค่อนข้างดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายเครือโรงพยาบาลต่างเร่งลงทุนเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่หลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ควบคู่กับการขยายจำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดิม โดยมีพื้นที่เป้าหมายในเมืองอุตสาหกรรมอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และเมืองท่องเที่ยวเช่น ภูเก็ตกับเชียงใหม่ สะท้อนจากจำนวนโรงพยาบาลเอกชนในภาคตะวันออกระหว่างปี 2022-2025 เพิ่มขึ้น 6 แห่ง เป็น 40 แห่งและมีจำนวนเตียงผู้ป่วยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7%CAGR อยู่ที่เกือบ 4,000 เตียง สูงกว่าภาพรวมทั้งประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียง 2%CAGR นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน ทั้งการจัดตั้งศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง, การลงทุนเพื่อรองรับ Medical tourism, การลงทุนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ (โรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุ, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ), การลงทุนด้านสุขภาพและเวลเนส และการขยายเครือข่ายผ่านการเข้าซื้อกิจการเพื่อให้บริการครอบคลุมในหลายจังหวัด ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะในสาขาเฉพาะทางซึ่งค่อนข้างขาดแคลนในภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง ยังทำให้การแข่งขันเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่และเพื่อขยายการบริการเฉพาะทางรุนแรงขึ้น และยังสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรของโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากผู้ป่วยชาวไทยแบบ Self-pay เป็นหลักและโรงพยาบาลขนาดเล็กนอกเครือข่าย (Non-chain) ที่มีต้นทุนบริหารสูงและศักยภาพการให้บริการต่ำกว่าเครือข่ายขนาดใหญ่
 
สำหรับเทรนด์ที่น่าสนใจของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในระยะถัดไป ได้แก่ 1. เทรนด์การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว (Longevity) 2. เทรนด์เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health Tech) และ 3. เทรนด์ Value-based care 
 
โดยเทรนด์แรกคือ Longevity ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคด้านสุขภาพค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของธุรกิจด้านสุขภาพ โดย Longevity มุ่งเน้นการยืดช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดีแข็งแรง (Healthspan) ให้ยาวนานที่สุด ผ่านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงส่งผลให้ความต้องการใช้บริการด้าน Health & Wellness เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การเสริมความงาม, เวชศาสตร์ป้องกัน, การดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเวลเนสและอสังหาริมทรัพย์เชิงเวลเนส กระแสนี้ยังสอดรับกับบริบทที่หลายประเทศรวมถึงไทยได้เข้าสู่ Aged society แล้ว ทำให้จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานก็นำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น การรวมกลุ่มออกกำลังกาย การซื้ออุปกรณ์เพื่อการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารสุขภาพ ทั้งนี้ตลาด Wellness ของไทยในปี 2023 มีมูลค่าตลาดกว่า 1.4 ล้านล้านบาท อีกทั้ง ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 7%CAGR สะท้อนโอกาสการขยายตัวในธุรกิจ Health & Wellness ที่ยังมีศักยภาพอีกภาพในระยะยาว โดยตลาดเวลเนสไทยส่วนใหญ่อยู่ในการท่องเที่ยวเชิงเวลเนส อาหารเพื่อสุขภาพ การเสริมความงาม และการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้ศูนย์เวลเนส (Wellness center) ที่ได้รับการรับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2025 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,474 แห่ง ประกอบด้วยธุรกิจ 5 ประเภท ได้แก่ 1. ภัตตาคารและร้านอาหาร 2. สถานพยาบาล 3. ที่พักนักท่องเที่ยว 4. นวดเพื่อสุขภาพ และ 5. สปาเพื่อสุขภาพ  
 
เทรนด์ถัดมาคือ Health tech ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบสาธารณสุข โดยสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ 1. เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษา เช่น AI สำหรับการวินิจฉัยโรค หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable technology) ในการติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์ และ 2. เทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริการและประสบการณ์ของผู้ป่วย ตั้งแต่การนัดหมายแพทย์ออนไลน์ ระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) หุ่นยนต์พยาบาล ไปจนถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งหลายเครือโรงพยาบาลได้เริ่มให้บริการไปบ้างแล้วทั้งในส่วนการใช้ AI ในการวินิจฉัยโรค การใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยผ่าตัดและการให้บริการในระบบ Telemedicine ทั้งนี้การลงทุนใน Health tech แม้จำเป็นต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก และต้องการบุคลากรทักษะสูง อีกทั้ง ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยยังคาดหวังกับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่ายผ่านระบบดิจิทัล และเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพและบริการเวลเนส ทำให้ Health tech กลายเป็นเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจด้านสุขภาพอย่างโรงพยาบาลไม่อาจมองข้าม นอกจากนี้ การพัฒนาในด้านเทคโนโลยีด้านชีวภาพและยา (Biotech & Pharma) ยังเป็นอีกกลุ่มที่กำลังขยายตัวและสร้างโอกาสในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative proteins) อย่างเช่นเนื้อสัตว์ที่ผลิตจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cell-based meat) และเนื้อสัตว์จากพืช (Plant-based meat), กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ (Consumer product & Services) อย่างการตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut microbiome) เพื่อแนะนำโพรไบโอติกหรืออาหารเสริมที่เหมาะกับ DNA ของแต่ละบุคคล หรือสกินแคร์ที่เหมาะกับลักษณะผิวและไมโครไบโอม (จุลินทรีย์ในร่างกาย) ของแต่ละบุคคล และกลุ่มยาลดน้ำหนัก GLP-1 ซึ่งกำลังเข้ามามีส่วนในการช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดปัญหาโรคอ้วนซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่ตามมาอีกหลายประการ
 
สุดท้าย เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-based care) กำลังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจ Healthcare ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ โดยภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเปราะบาง ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยทั่วโลก รวมถึงในไทย ต่างระมัดระวังการใช้จ่ายและมองหาตัวเลือกการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้น แนวคิด Value-based care จึงมีแนวโน้มนำมาใช้ในธุรกิจ Healthcare มากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่อิงผลลัพธ์ทางสุขภาพ อย่างเช่น การลดอัตราการเสียชีวิต การลดอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ และการลดอัตราภาวะแทรกซ้อนหลังรักษาภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ด้วยการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายต่อโรค (Bundled payment) หรือเหมาจ่ายต่อหัว (Capitation) แทนการคิดค่าใช้จ่ายแบบเดิมที่คิดตามการเข้ามารักษาในแต่ละบริการ (Fee-for-service) แนวทางนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการรักษา ลดต้นทุนจากการใช้บริการที่เกินจำเป็น และทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น อีกทั้ง แนวคิดนี้ยังช่วยเสริมความยั่งยืนให้ระบบสาธารณสุขโดยรวมจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรสาธารณสุข และเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ Super-aged society ของไทยในปี 2033 อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Value-based care ของโรงพยาบาลยังเผชิญความท้าทายหลายประการที่ต้องบริหารจัดการ ได้แก่ การแบกรับความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น หากผลลัพธ์การรักษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่กำหนดและอาจนำไปสู่การเลือกผู้ป่วย, ความซับซ้อนของตัวชี้วัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพซึ่งมีความหลากหลาย และต้องอาศัยระบบจัดเก็บ ติดตาม และเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ, การปรับระบบการทำงานและแนวคิดของบุคลากรทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับการดูแลสุขภาพแบบเน้นคุณค่า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น
 
รูปที่ 3 : ศูนย์ Wellness center ที่ได้รับการรับรองจาก DTAM ในไทย ณ เดือนกันยายน 2025
หน่วย : แห่ง
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก

ภาคผนวก : ผลประกอบการของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SETSMART

 
ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 13 พ.ย. 2568 เวลา : 17:51:44
13-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (13 พ.ย.68) บวก 2.63 จุด ดัชนี 1,287.44 จุด

2. พยากรณ์อากาศวันนี้ (13 พ.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 10% และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ย.68) บวก 3.14 จุด ดัชนี 1,287.95 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,180-4,150 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,250 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 326.86 จุด รับความหวังชัตดาวน์ใกล้สิ้นสุดลง

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาท / ดอลลาร์

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่ง 97.3 ดอลลาร์ รับบอนด์ยีลด์ร่วง-ชัตดาวน์ใกล้ยุติ

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (13 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (13 พ.ย. 68) พุ่งขึ้น 850 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,050 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (13 พ.ย.68) บวก 3.83 จุด ดัชนี 1,288.64 จุด

11. ตลาดหุ้นปิด (12 พ.ย.68) ลบ 15.66 จุด ดัชนี 1,284.81 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (12 พ.ย.68) ลบ 7.81 จุด ดัชนี 1,292.66 จุด

13. MTS Gold ราคาทองประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,070-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,150-4,200 เหรียญ

14. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 พ.ย. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,250 บาท

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (12 พ.ย.68) ลมหนาวเยือนภาคอีสาน อุณหภูมิลด 1-2 องศา ยอดดอย 10 องศา,ประเทศไทยตอนบนยังมีฝนบางแห่ง 20% กทม. 30% ภาคตะวันออก 40% ภาคใต้ 30-40%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 13, 2025, 7:22 pm