
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยปี 2025 มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวอยู่ที่ 3.2%YoY คิดเป็นมูลค่าราว 3.4 แสนล้านบาท จากแรงกดดันของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคทั่วโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค และต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายด้านค่ารักษาพยาบาลของทั้งผู้ป่วยชาวไทยและต่างชาติ โดยรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโต 3.1%YoY มาอยู่ที่ราว 2.8 แสนล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวค่อนข้างต่ำ ซึ่งจะกระทบความต้องการใช้บริการรักษาพยาบาลโดยเฉพาะกลุ่มผู้ชำระเงินเอง แต่ยังได้แรงหนุนจากกลุ่มผู้ใช้ประกันสุขภาพเอกชนและกลุ่มประกันสังคมที่มีแนวโน้มเติบโต ส่วนรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติมีแนวโน้มขยายตัวที่ 3.8%YoY ชะลอจากปีที่แล้วมาอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากผลกระทบของมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ, ปัญหาสงครามบริเวณตะวันออกกลาง, การแข็งค่าของค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งกระทบกำลังซื้อของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ (Medical tourist) โดยเฉพาะจากตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชาที่ยังยืดเยื้อยิ่งส่งผลกระทบต่อการเข้ารับรักษาของผู้ป่วยจากกัมพูชาค่อนข้างมาก โดยรายได้จากชาวกัมพูชาในปี 2024 คิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของรายได้จากผู้ป่วยชาวต่างชาติ อีกทั้ง นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเที่ยวไทยในช่วง 9 เดือนแรกยังลดลงกว่า -7.5%YoY อย่างไรก็ดี รายได้ผู้ป่วยชาวต่างชาติจะได้อานิสงส์จากฐานรายได้ผู้ป่วยคูเวตที่ค่อนข้างต่ำในครึ่งปีหลังของปี 2024 สำหรับมาตรการลดค่าครองชีพด้านสุขภาพให้กับประชาชนของกระทรวงพาณิชย์ โดยให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งและเปิดเผยราคาค่ายาให้ชัดเจน พร้อมทั้งให้สิทธิผู้ป่วยเลือกซื้อยาจากภายนอก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้โรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม อีกทั้ง โรงพยาบาลหลายแห่งได้ให้สิทธิผู้ป่วยรับยาจากภายนอกอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจึงอาจใช้สิทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพ ส่วนการขึ้นภาษีนำเข้ายาและเครื่องมือแพทย์ของสหรัฐฯ คาดว่าจะส่งผลต่อต้นทุนของโรงพยาบาลเอกชนไม่มากนัก เนื่องจากราคายาและเครื่องมือแพทย์ในสหรัฐฯ มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยบริษัทยารายใหญ่ส่วนมากได้รับการยกเว้นภาษีจากสหรัฐฯ จากการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ ขณะเดียวกัน ไทยก็เตรียมลดภาษีการนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีตอบโต้ ซึ่งจะช่วยลดผลกระทบด้านต้นทุนได้บางส่วน
ในปี 2026 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลมีแนวโน้มขยายตัวลดลงเล็กน้อยที่ 3.1%YoY และมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยที่ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจไทยที่ยังขยายตัวต่ำ ส่วนกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เติบโตใกล้เคียงเดิม ประกอบกับนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในหลายประเทศที่หดตัวในปี 2025 มีโอกาสกลับเข้ามารับการรักษาเพิ่มขึ้นอย่างเช่น กัมพูชา, คูเวต และจีน หากปัญหาในแต่ละกรณีคลี่คลายลง ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การปรับนโยบายการส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต และความกังวลด้านความปลอดภัยในไทยของชาวจีน นอกจากนี้ รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนจะได้รับแรงสนับสนุนจากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ทั่วโลกรวมถึงไทย ประกอบกับแนวโน้มการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่สูงขึ้นทั่วโลก และไทยยังคงเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับกลุ่ม Medical tourist ทั่วโลก จากคุณภาพการรักษาพยาบาลที่ได้มาตรฐานสากลและค่ารักษาพยาบาลที่แข่งขันได้
ภาวะการแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มรุนแรงมากยิ่งขึ้น จากการปรับกลยุทธ์ด้านราคาและการออกโปรโมชันเพื่อจูงใจทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติของผู้ประกอบการเพื่อเร่งดึงดูดผู้ใช้บริการภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง พร้อมทั้งยังต้องเผชิญกับการแข่งขันกับโรงพยาบาลในระดับนานาชาติในการเจาะตลาดกลุ่ม Medical tourism ทั้งในฝั่งอาเซียนและตะวันออกกลาง นอกจากนี้ หลายเครือโรงพยาบาลยังได้เตรียมเปิดโรงพยาบาลใหม่หรือขยายจำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดิม ซึ่งส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาปริมาณเตียงผู้ป่วยเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC รวมถึงหลายเครือโรงพยาบาลยังมีแผนขยายธุรกิจในกลุ่มธุรกิจที่ใกล้เคียงกัน เช่น ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง, บริการเพื่อเจาะกลุ่ม Medical tourism และ Aged society รวมถึงบริการด้านเวลเนส ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะในสาขาเฉพาะทาง ซึ่งค่อนข้างขาดแคลนในภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มมากขึ้น
3 เทรนด์ที่น่าสนใจของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในปี 2025 และในระยะถัดไป ได้แก่ 1. เทรนด์การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว (Longevity) ซึ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคในการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิตให้หันมาใช้บริการด้านเวลเนสมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น อาหารเพื่อสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การเสริมความงาม, เวชศาสตร์ป้องกัน, การดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเวลเนส จึงทำให้ตลาดเวลเนสของไทยมีศักยภาพในการเติบโตอีกค่อนข้างมากในระยะยาว 2. เทรนด์เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health tech) ตามความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษา เช่น การใช้ AI สำหรับการวินิจฉัยโรคหรือการใช้หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และการช่วยยกระดับการดูแลผู้ป่วย เช่น ระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) หุ่นยนต์พยาบาล และ Telemedicine นอกจากนี้ เทคโนโลยีด้านชีวภาพและยา (Biotech & Pharma) ยังเป็นอีกกลุ่มที่กำลังขยายตัวและสร้างโอกาสในธุรกิจด้านสุขภาพ เช่น กลุ่มโปรตีนทางเลือก, กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการที่ใช้เทคโนโลยีชีวภาพ และกลุ่มยาลดน้ำหนัก GLP-1 3. เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-based care) จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัว ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จึงส่งผลให้ผู้ป่วยทั่วโลกรวมถึงในไทยมองหาทางเลือกในการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น โดยแนวคิด Value-based care เป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่อิงผลลัพธ์ทางสุขภาพภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมด้วยการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายต่อโรคหรือเหมาจ่ายต่อหัว (Capitation) แทนการคิดค่าใช้จ่ายแบบเดิมที่คิดตามการรักษาในแต่ละบริการ ซึ่งจะช่วยยกระดับคุณภาพการรักษา ลดต้นทุนจากการใช้บริการที่เกินจำเป็น และทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น อีกทั้ง แนวคิดนี้ยังช่วยส่งเสริมความยั่งยืนให้แก่ระบบสาธารณสุขไทย โดยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรด้านสาธารณสุขของประเทศ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Value-based care ยังเผชิญความท้าทายในหลายด้าน ทั้งการแบกรับความเสี่ยงทางการเงิน หากผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย, ความซับซ้อนของตัวชี้วัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ต้องอาศัยฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ, รวมถึงการปรับระบบการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์และการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น
Industry overview
ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน คือธุรกิจที่ให้บริการทางการแพทย์ภายใต้การบริหารของภาคเอกชน โดยโรงพยาบาลเอกชนในไทย ณ เดือนมิถุนายนปี 2025 มีจำนวนทั้งสิ้น 456 แห่ง คิดเป็นราว 30% ของจำนวนโรงพยาบาลทั่วประเทศ มีเตียงผู้ป่วยรวมกันทั้งสิ้น 4.2 หมื่นเตียง และกว่า 153 แห่งอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งนี้โรงพยาบาลเอกชนสามารถแบ่งประเภทได้หลายรูปแบบตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น จำนวนเตียง (ขนาดเล็ก, ขนาดกลาง และขนาดใหญ่), ลักษณะการให้บริการ (โรคทั่วไป และเฉพาะทาง), ความซับซ้อนทางการแพทย์ (ปฐมภูมิ, ทุติยภูมิ และตติยภูมิ) และกลุ่มผู้ป่วยเป้าหมาย (ชาวไทย และชาวต่างชาติ) สำหรับผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มีทั้งสิ้น 27 ราย ครอบคลุมโรงพยาบาลกว่า 180 แห่ง และให้บริการทางการแพทย์อย่างครบวงจรในหลากหลายสาขา ประกอบด้วย AHC, BCH, BDMS, BH, CHG, CMR, EKH, HANN, IMH, KDH, LPH, M-CHAI, NEW, NKT, NTV, PHG, PR9, PRINC, RAM, RJH, RPH, SKR ,THG, TNH, VIBHA, VIH และ WPH
รูปที่ 1 : ผู้ประกอบการโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
หมายเหตุ : *ผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ MAI
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SET
ในปี 2024 ที่ผ่านมา รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขยายตัวปานกลางราว 4.6%YoY อยู่ที่ 3.3 แสนล้านบาท โดยเป็นผลจาก 1. รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยกลับมาขยายตัวที่ 4.2%YoY มาอยู่ที่ 2.7 แสนล้านบาท จากผู้ป่วยในกลุ่มโรคทั่วไปและโรคเรื้อรังที่กลับเข้ามารักษาต่อเนื่องหลังเลื่อนการรักษาออกไปในช่วงโควิด-19 ประกอบกับในปี 2023 รายได้ปรับลดลงตามรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ที่ทยอยหมดไป อาทิ รายได้จากการตรวจหาเชื้อ, การฉีดวัคซีน และการรักษาผู้ติดเชื้อ อย่างไรก็ดี รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยยังถูกกดดันบางส่วนจากรายได้ในกลุ่มผู้ใช้สิทธิประกันสังคม หลังสำนักงานประกันสังคมปรับลดค่าใช้จ่ายในส่วนกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) เช่น โรคมะเร็ง และโรคไตวาย ชั่วคราวเนื่องจากงบประมาณจำกัด 2. สำหรับรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติขยายตัว 6.6%YoY มาอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท โดยรายได้ยังเติบโตต่อเนื่องจากแรงหนุนของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง, จีน และสหรัฐอเมริกา ที่ยังสนใจ Medical tourism ของไทย แต่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มผู้ป่วยชาวคูเวตที่ปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี ภายหลังที่รัฐบาลคูเวตอยู่ระหว่างปรับเปลี่ยนนโยบายการส่งต่อผู้ป่วยที่ใช้สิทธิจากรัฐไปยังต่างประเทศ จึงส่งผลให้การส่งผู้ป่วยจากคูเวตเข้าสู่ไทยชะลอตัวลง และกดดันรายได้ของโรงพยาบาลในกลุ่มที่พึ่งพิงผู้ป่วยคูเวตสูง
Industry outlook and trend
ในปี 2025 รายได้ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทยมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงอยู่ที่ 3.2%YoY คิดเป็นมูลค่าราว 3.4 แสนล้านบาท จากภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทยที่อ่อนตัว กระทบกำลังซื้อด้านการรักษาพยาบาลของทั้งผู้ป่วยชาวไทยและชาวต่างชาติ
ในปี 2025 รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะเติบโต 3.1%YoY โดยชะลอตัวจากปี 2024 มาอยู่ที่ราว 2.8 แสนล้านบาท ตามภาวะเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มขยายตัวต่ำกดดันกำลังซื้อของชาวไทยและส่งผลต่อเนื่องไปยังการใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาล โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยเริ่มส่งสัญญาณชะลอลงตามการบริโภคภาคเอกชนในครึ่งปีแรกที่เติบโตเพียง 2.3%YoY ต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่เติบโตถึง 5.4%YoY ซึ่งกระทบการใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลโดยเฉพาะผู้ป่วยกลุ่มชำระเงินเอง (Self-pay) ที่มีโอกาสเปลี่ยนไปใช้บริการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจไทยและการบริโภคเอกชนมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ตามแรงกดดันจากเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบภายหลังการบังคับใช้มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดย SCB EIC ประเมินว่าในปี 2025 เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่ำเพียง 1.8%YoY และการบริโภคภาคเอกชนเติบโต 2.1%YoY อย่างไรก็ดี รายได้จากผู้ป่วยชาวไทยยังได้รับแรงหนุนจากกลุ่มผู้ใช้ประกันสุขภาพเอกชน ซึ่งฐานผู้เอาประกันยังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากการเร่งทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมในช่วงก่อนที่มาตรการร่วมจ่าย (Copayment) จะมีผลบังคับใช้ในช่วงปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อีกทั้ง รายได้จากกลุ่มประกันสังคมยังปรับเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการกลับมาจ่ายเงินตามเกณฑ์เดิมสำหรับกลุ่มโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (RW>2) ที่ 12,000 บาท ต่อ AdjRW จากที่ปรับลดลงในปีก่อนหน้า นอกจากนี้ มาตรการลดค่าครองชีพด้านสุขภาพและเพิ่มทางเลือกให้กับประชาชนของกระทรวงพาณิชย์ด้วยการให้โรงพยาบาลเอกชนแจ้งและเปิดเผยราคายาให้ชัดเจน พร้อมกับให้สิทธิผู้ป่วยในการเลือกซื้อยาจากภายนอก คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อรายได้โรงพยาบาลเอกชนค่อนข้างจำกัด เนื่องจากค่ายา เวชภัณฑ์ และค่าบริการทางการแพทย์เป็นสินค้าควบคุม ขณะที่การอนุญาตให้รับยาจากภายนอกก็เป็นแนวปฏิบัติที่โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งได้ดำเนินการอยู่ก่อนแล้ว ผู้ป่วยจึงอาจใช้สิทธิเพิ่มขึ้นไม่มากนักโดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้ประกันสุขภาพ
รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 3.8%YoY มาอยู่ที่ 5.5 หมื่นล้านบาท จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวจากการบังคับใช้มาตรการภาษีของสหรัฐฯ ซึ่งจะกระทบกำลังซื้อกลุ่ม Medical tourism โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2025 รายได้จากกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังขยายตัวต่อเนื่องจากการเข้ามาของผู้ป่วยจากตะวันออกกลาง อย่างเช่น โอมาน กาตาร์ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), ผู้ป่วยจากเมียนมา สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร รวมถึงกลุ่ม Expatriate ชาวจีน อย่างไรก็ดี แนวโน้มการขยายตัวของรายได้ดังกล่าวยังได้รับแรงกดดันจากหลายปัจจัย ได้แก่ 1. ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา และนำไปสู่การปิดด่านพรมแดนตั้งช่วงปลายเดือนมิถุนายน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเข้ารับการรักษาของผู้ป่วยจากกัมพูชาค่อนข้างมาก ทั้งในโรงพยาบาลที่ตั้งอยู่ใกล้ชายแดนไทย-กัมพูชา โรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยจากกัมพูชาในกรุงเทพฯ และโรงพยาบาลของไทยที่ตั้งในกัมพูชา 2. การลดลงของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกหดตัวกว่า -7.5%YoY 3. ผลจากฐานสูงของรายได้จากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากคูเวตในช่วงไตรมาสแรกถึงไตรมาสที่สองปี 2024 ก่อนจะปรับลดลงในช่วงครึ่งหลังของปี และ 4. สงครามบริเวณตะวันออกกลางช่วงเดือนมิถุนายน รวมถึงระดับราคาน้ำมันที่ลดลง ซึ่งกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์จากตะวันออกกลาง ส่วนในครึ่งปีหลัง รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะได้อานิสงส์จากฐานรายได้ผู้ป่วยคูเวตที่ค่อนข้างต่ำในครึ่งปีหลังของปี 2024 แต่จะถูกกดดันต่อเนื่องจากกำลังซื้อของผู้ป่วยชาวต่างชาติตามภาวะเศรษฐกิจโลกหลังมาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ บังคับใช้ อีกทั้ง การแข็งค่าของอัตราค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ อย่างต่อเนื่องโดยในเดือนกันยายนอยู่ที่ราว 31-32 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ อาจส่งผลให้ค่ารักษาพยาบาลในไทยเมื่อแปลงเป็นสกุลเงินของผู้ป่วยชาวต่างชาติเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางและกัมพูชา ซึ่งเป็นตลาดสำคัญในด้าน Medical tourism ของไทย
สำหรับการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ โดยจัดเก็บภาษียาที่อัตรา 100% ครอบคลุมเฉพาะยาที่มีตราสินค้าหรือสิทธิบัตร แต่ยกเว้นให้บริษัทที่เริ่มสร้างโรงงานในสหรัฐฯ แล้ว รวมถึงการจัดเก็บภาษีเครื่องมือแพทย์ตามอัตราภาษีตอบโต้ (Reciprocal tariff) ขณะเดียวกัน ไทยก็เตรียมลดภาษีนำเข้ายา เวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์จากสหรัฐฯ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดภาษีตอบโต้ ซึ่งคาดว่าผลกระทบโดยรวมต่อต้นทุนการนำเข้าของโรงพยาบาลเอกชนจะค่อนข้างจำกัด โดยการนำเข้ายาที่ใช้นวัตกรรมขั้นสูงจากสหรัฐฯ อาจไม่ได้รับผลกระทบนักเพราะบริษัทยารายใหญ่ในสหรัฐฯ ส่วนมากได้ลงทุนตั้งฐานการผลิตในสหรัฐฯ อยู่แล้ว จึงเข้าข่ายได้รับการยกเว้นภาษีของสหรัฐฯ และทำให้ยาจากสหรัฐฯ ที่ไทยนำเข้าบางส่วนไม่ได้รับผลกระทบตาม ส่วนต้นทุนการนำเข้าเครื่องมือแพทย์อาจปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากต้นทุนการผลิตเครื่องมือแพทย์ในสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น แต่จะได้รับชดเชยบางส่วนจากการลดภาษีนำเข้าของไทย
ในปี 2026 ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนคาดว่าจะเผชิญแรงกดดันต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ส่งผลให้รายได้ขยายตัวชะลอลงที่ 3.1%YoY และมีมูลค่า 3.5 แสนล้านบาท แต่มีโอกาสขยายตัวได้มากขึ้นหากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในหลายประเทศที่เคยหดตัวในปี 2025 กลับเข้ามารับการรักษา โดยกลุ่มผู้ป่วยชาวไทยคาดว่าจะขยายตัวในอัตราที่ลดลงที่ 2.9%YoY และมีมูลค่า 2.9 แสนล้านบาท ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยและการบริโภคภาคเอกชนที่คาดว่าขยายตัวเล็กน้อยเพียง 1.5%YoY กับ 1.9%YoY ตามลำดับ แต่รายได้จากกลุ่มประกันสุขภาพเอกชนและประกันสังคมจะยังช่วยผลักดันให้รายได้รวมเติบโตต่อไป นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) ของไทยตั้งแต่ปี 2024 จากสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไป ที่มากกว่า 14% ของประชากรทั้งหมด ประกอบกับ ค่าอายุมัธยฐานชาวไทย (Median) ยังเพิ่มสูงขึ้นเป็น 40 ปี สะท้อนโครงสร้างประชากรที่สูงวัยขึ้น อีกทั้ง สัดส่วนผู้สูงอายุยังมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 2033 จะเป็นปีที่ไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด (Super-aged society) จากสัดส่วนประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งจะช่วยหนุนให้ความต้องการบริการด้านการแพทย์เพิ่มขึ้นในระยะยาว นอกจากนี้ ความต้องการรักษาพยาบาลยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอัตราการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (Non-communicable diseases : NCDs) ที่สูงขึ้น อาทิ โรคมะเร็ง, โรคหัวใจ, โรคหลอดเลือดในสมอง, โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิต โดยจำนวนผู้เสียชีวิตจาก 5 โรค NCDs ดังกล่าวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องราว 3%CAGR ในช่วงปี 2013–2023 จนมาอยู่ที่ 1.7 แสนคน โดยเฉพาะโรคมะเร็ง ในส่วนกลุ่มผู้ป่วยชาวต่างชาติยังเติบโตต่อเนื่องอยู่ที่ 4.3%YoY และมีมูลค่า 5.8 หมื่นล้านบาท จากเศรษฐกิจทั่วโลกที่มีแนวโน้มเติบโตใกล้เคียงปี 2025 อีกทั้ง มีโอกาสปรับตัวดีขึ้นหากนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่หดตัวในปี 2025 อย่างเช่นชาวกัมพูชา, คูเวตและจีนกลับเข้ามารับการรักษา หากปัญหาในแต่ละกรณีคลี่คลายลง ไม่ว่าจะเป็น ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา การปรับนโยบายการส่งผู้ป่วยของรัฐบาลคูเวต และความกังวลด้านความปลอดภัยในไทยของชาวไทย อย่างไรก็ดี ไทยยังถือเป็นประเทศยอดนิยมสำหรับกลุ่ม Medical tourism จากจุดแข็งในด้านค่ารักษาพยาบาลที่สมเหตุสมผลและแข่งขันได้, ด้านสถานพยาบาลที่มีคุณภาพตามมาตรฐานระดับสากล, ด้านบุคลากรทางการแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายสาขาทั้งแพทย์ พยาบาล นักกายภาพบำบัด รวมถึงพนักงานที่ทำหน้าที่อำนวยความสะดวก และด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมระดับโลก ซึ่งช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เข้ามาพักรักษาพร้อมพักผ่อนกับครอบครัว
รูปที่ 2 : รายได้ของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนของไทย
หน่วย : แสนล้านบาท
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Enlite
Competitive landscape
ภาวะการแข่งขันในธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนมีแนวโน้มรุนแรงมากขึ้น โดยเป็นผลมาจากการแข่งขันดึงดูดผู้ป่วยและการขยายขีดความสามารถในการรักษาพยาบาล ในด้านการแข่งขันดึงดูดผู้ป่วย เนื่องจากความต้องการรักษาพยาบาลถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจทั่วโลกและเศรษฐกิจไทย ส่งผลให้ผู้ป่วยหันมาเน้นความคุ้มค่าในการเข้ารับการรักษาพยาบาลมากขึ้น ดังนั้น โรงพยาบาลเอกชนต่างต้องปรับกลยุทธ์ด้านราคาและนำเสนอโปรโมชันเพื่อดึงดูดให้ผู้ป่วยเข้ามาใช้บริการ ยิ่งไปกว่านั้น การแข่งขันเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นโดยเฉพาะการเจาะกลุ่มตะวันออกกลาง จากที่โรงพยาบาลหลายแห่งได้จัดตั้งศูนย์ดูแลผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ พร้อมทั้งจัดโปรโมชัน และขยายเครือข่ายกับทางเอเจนซี เพื่อดึงดูดผู้ป่วยต่างชาติเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างชาติมีตัวเลือกในการใช้บริการมากขึ้น ในขณะเดียวกัน โรงพยาบาลเอกชนของไทยยังต้องเผชิญกับการแข่งขันจากโรงพยาบาลในระดับนานาชาติที่ต่างเร่งขยายตลาดในกลุ่มนี้ ทั้งในฝั่งอาเซียน (สิงคโปร์ และมาเลเซีย) และตะวันออกกลาง (ตุรกี, กาตาร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์)
ส่วนในด้านการขยายการบริการ จากผลประกอบการของธุรกิจที่ค่อนข้างดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายเครือโรงพยาบาลต่างเร่งลงทุนเปิดโรงพยาบาลแห่งใหม่หลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ควบคู่กับการขยายจำนวนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลเดิม โดยมีพื้นที่เป้าหมายในเมืองอุตสาหกรรมอย่างเขตเศรษฐกิจพิเศษ EEC และเมืองท่องเที่ยวเช่น ภูเก็ตกับเชียงใหม่ สะท้อนจากจำนวนโรงพยาบาลเอกชนในภาคตะวันออกระหว่างปี 2022-2025 เพิ่มขึ้น 6 แห่ง เป็น 40 แห่งและมีจำนวนเตียงผู้ป่วยปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7%CAGR อยู่ที่เกือบ 4,000 เตียง สูงกว่าภาพรวมทั้งประเทศที่เพิ่มขึ้นเพียง 2%CAGR นอกจากนี้ โรงพยาบาลหลายแห่งยังเดินหน้าพัฒนาธุรกิจในทิศทางที่ใกล้เคียงกัน ทั้งการจัดตั้งศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง, การลงทุนเพื่อรองรับ Medical tourism, การลงทุนเพื่อรองรับสังคมผู้สูงอายุ (โรงพยาบาลเพื่อผู้สูงอายุ, ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงที่อยู่อาศัยสำหรับผู้สูงอายุ), การลงทุนด้านสุขภาพและเวลเนส และการขยายเครือข่ายผ่านการเข้าซื้อกิจการเพื่อให้บริการครอบคลุมในหลายจังหวัด ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องไปยังการแข่งขันแย่งชิงบุคลากรทางการแพทย์โดยเฉพาะในสาขาเฉพาะทางซึ่งค่อนข้างขาดแคลนในภาพรวมทั้งประเทศเพิ่มมากขึ้น อีกทั้ง ยังทำให้การแข่งขันเพื่อเจาะกลุ่มผู้ใช้บริการใหม่และเพื่อขยายการบริการเฉพาะทางรุนแรงขึ้น และยังสร้างแรงกดดันต่ออัตรากำไรของโรงพยาบาลเอกชน โดยเฉพาะในกลุ่มที่พึ่งพารายได้จากผู้ป่วยชาวไทยแบบ Self-pay เป็นหลักและโรงพยาบาลขนาดเล็กนอกเครือข่าย (Non-chain) ที่มีต้นทุนบริหารสูงและศักยภาพการให้บริการต่ำกว่าเครือข่ายขนาดใหญ่
สำหรับเทรนด์ที่น่าสนใจของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนในระยะถัดไป ได้แก่ 1. เทรนด์การดูแลสุขภาพให้มีอายุยืนยาว (Longevity) 2. เทรนด์เทคโนโลยีด้านการแพทย์ (Health Tech) และ 3. เทรนด์ Value-based care
โดยเทรนด์แรกคือ Longevity ซึ่งกำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น และก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคด้านสุขภาพค่อนข้างมาก ซึ่งจะเป็นโอกาสทางธุรกิจที่สำคัญของธุรกิจด้านสุขภาพ โดย Longevity มุ่งเน้นการยืดช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดีแข็งแรง (Healthspan) ให้ยาวนานที่สุด ผ่านการดูแลสุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงส่งผลให้ความต้องการใช้บริการด้าน Health & Wellness เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งครอบคลุมทั้งอาหารเพื่อสุขภาพ, การออกกำลังกาย, การเสริมความงาม, เวชศาสตร์ป้องกัน, การดูแลสุขภาพจิต รวมถึงการท่องเที่ยวเชิงเวลเนสและอสังหาริมทรัพย์เชิงเวลเนส กระแสนี้ยังสอดรับกับบริบทที่หลายประเทศรวมถึงไทยได้เข้าสู่ Aged society แล้ว ทำให้จำนวนผู้สูงอายุทั่วโลกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน กลุ่มวัยรุ่น-วัยทำงานก็นำกิจกรรมที่ส่งเสริมสุขภาพเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในไลฟ์สไตล์มากขึ้น เช่น การรวมกลุ่มออกกำลังกาย การซื้ออุปกรณ์เพื่อการออกกำลังกาย และการบริโภคอาหารสุขภาพ ทั้งนี้ตลาด Wellness ของไทยในปี 2023 มีมูลค่าตลาดกว่า 1.4 ล้านล้านบาท อีกทั้ง ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 7%CAGR สะท้อนโอกาสการขยายตัวในธุรกิจ Health & Wellness ที่ยังมีศักยภาพอีกภาพในระยะยาว โดยตลาดเวลเนสไทยส่วนใหญ่อยู่ในการท่องเที่ยวเชิงเวลเนส อาหารเพื่อสุขภาพ การเสริมความงาม และการแพทย์ทางเลือก ทั้งนี้ศูนย์เวลเนส (Wellness center) ที่ได้รับการรับรองจากกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกของไทยกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนกันยายน 2025 มีจำนวนทั้งสิ้น 2,474 แห่ง ประกอบด้วยธุรกิจ 5 ประเภท ได้แก่ 1. ภัตตาคารและร้านอาหาร 2. สถานพยาบาล 3. ที่พักนักท่องเที่ยว 4. นวดเพื่อสุขภาพ และ 5. สปาเพื่อสุขภาพ
เทรนด์ถัดมาคือ Health tech ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อระบบสาธารณสุข โดยสามารถแบ่งได้เป็นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ 1. เทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มความแม่นยำและประสิทธิภาพในการรักษา เช่น AI สำหรับการวินิจฉัยโรค หุ่นยนต์ช่วยผ่าตัด และอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ (Wearable technology) ในการติดตามสุขภาพแบบเรียลไทม์ และ 2. เทคโนโลยีที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการบริการและประสบการณ์ของผู้ป่วย ตั้งแต่การนัดหมายแพทย์ออนไลน์ ระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ (EHR) หุ่นยนต์พยาบาล ไปจนถึงการแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ซึ่งหลายเครือโรงพยาบาลได้เริ่มให้บริการไปบ้างแล้วทั้งในส่วนการใช้ AI ในการวินิจฉัยโรค การใช้หุ่นยนต์เข้ามาช่วยผ่าตัดและการให้บริการในระบบ Telemedicine ทั้งนี้การลงทุนใน Health tech แม้จำเป็นต้องใช้งบประมาณค่อนข้างมาก และต้องการบุคลากรทักษะสูง อีกทั้ง ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว แต่ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเพิ่มขีดความสามารถของโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ผู้ป่วยยังคาดหวังกับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว เข้าถึงง่ายผ่านระบบดิจิทัล และเน้นการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น เช่น การตรวจสุขภาพและบริการเวลเนส ทำให้ Health tech กลายเป็นเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจด้านสุขภาพอย่างโรงพยาบาลไม่อาจมองข้าม นอกจากนี้ การพัฒนาในด้านเทคโนโลยีด้านชีวภาพและยา (Biotech & Pharma) ยังเป็นอีกกลุ่มที่กำลังขยายตัวและสร้างโอกาสในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มโปรตีนทางเลือก (Alternative proteins) อย่างเช่นเนื้อสัตว์ที่ผลิตจากการเพาะเลี้ยงเซลล์ (Cell-based meat) และเนื้อสัตว์จากพืช (Plant-based meat), กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบริการ (Consumer product & Services) อย่างการตรวจจุลินทรีย์ในลำไส้ (Gut microbiome) เพื่อแนะนำโพรไบโอติกหรืออาหารเสริมที่เหมาะกับ DNA ของแต่ละบุคคล หรือสกินแคร์ที่เหมาะกับลักษณะผิวและไมโครไบโอม (จุลินทรีย์ในร่างกาย) ของแต่ละบุคคล และกลุ่มยาลดน้ำหนัก GLP-1 ซึ่งกำลังเข้ามามีส่วนในการช่วยควบคุมน้ำหนัก และลดปัญหาโรคอ้วนซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคที่ตามมาอีกหลายประการ
สุดท้าย เทรนด์การดูแลสุขภาพแบบมุ่งเน้นคุณค่า (Value-based care) กำลังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์สำคัญที่ธุรกิจ Healthcare ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจ โดยภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเปราะบาง ประกอบกับค่ารักษาพยาบาลที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้ส่งผลให้ผู้ป่วยทั่วโลก รวมถึงในไทย ต่างระมัดระวังการใช้จ่ายและมองหาตัวเลือกการรักษาพยาบาลที่คุ้มค่ามากขึ้น ดังนั้น แนวคิด Value-based care จึงมีแนวโน้มนำมาใช้ในธุรกิจ Healthcare มากขึ้น เนื่องจากเป็นวิธีการรักษาพยาบาลที่อิงผลลัพธ์ทางสุขภาพ อย่างเช่น การลดอัตราการเสียชีวิต การลดอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำ และการลดอัตราภาวะแทรกซ้อนหลังรักษาภายใต้ค่าใช้จ่ายที่เหมาะสม ด้วยการคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่ายต่อโรค (Bundled payment) หรือเหมาจ่ายต่อหัว (Capitation) แทนการคิดค่าใช้จ่ายแบบเดิมที่คิดตามการเข้ามารักษาในแต่ละบริการ (Fee-for-service) แนวทางนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพการรักษา ลดต้นทุนจากการใช้บริการที่เกินจำเป็น และทำให้ผู้ป่วยได้รับบริการในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น อีกทั้ง แนวคิดนี้ยังช่วยเสริมความยั่งยืนให้ระบบสาธารณสุขโดยรวมจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรสาธารณสุข และเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ Super-aged society ของไทยในปี 2033 อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนผ่านสู่ระบบ Value-based care ของโรงพยาบาลยังเผชิญความท้าทายหลายประการที่ต้องบริหารจัดการ ได้แก่ การแบกรับความเสี่ยงทางการเงินมากขึ้น หากผลลัพธ์การรักษาไม่เป็นไปตามเป้าหมายหรือมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าที่กำหนดและอาจนำไปสู่การเลือกผู้ป่วย, ความซับซ้อนของตัวชี้วัดผลลัพธ์ด้านสุขภาพซึ่งมีความหลากหลาย และต้องอาศัยระบบจัดเก็บ ติดตาม และเชื่อมโยงฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ, การปรับระบบการทำงานและแนวคิดของบุคลากรทางการแพทย์ให้สอดคล้องกับการดูแลสุขภาพแบบเน้นคุณค่า รวมถึงการส่งเสริมให้ผู้ป่วยมีส่วนร่วมในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น
รูปที่ 3 : ศูนย์ Wellness center ที่ได้รับการรับรองจาก DTAM ในไทย ณ เดือนกันยายน 2025
หน่วย : แห่ง
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมการแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก
ภาคผนวก : ผลประกอบการของธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SETSMART
ปุญญภพ ตันติปิฎก นักวิเคราะห์อาวุโส ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
ข่าวเด่น