หุ้นทอง
ปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้นในอัตราน้อยกว่าภาพรวมของทั้งประเทศ


บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) 527 บริษัท (จากทั้งหมด 861 บริษัท หรือ 91.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด) เปิดเผยปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปี 2567 ซึ่งมีข้อสรุปที่น่าสนใจ ดังนี้
 
• ปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ปล่อยก๊าซฯ) ในส่วน Scope 1 และ Scope 2 รวม 227.06 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq)  หรือเพิ่มขึ้น 0.3% จากปี 2566 ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราที่น้อยกว่าภาพรวมของไทยที่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น 2.9%
 
• สัดส่วนปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยต่อภาพรวมทั้งประเทศ ในปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 53.76% ลดลงจาก 55.11% ในปี 2566
 
• จากการศึกษาข้อมูลเชิงลึกจากบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด พบว่า บริษัทจดทะเบียนจำนวน 274 บริษัทที่รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ต่อเนื่องในปี 2566 และปี 2567 และมีการทวนสอบข้อมูลโดยผู้ประเมินภายนอก พบว่า
 
ในปี 2567 พบว่า 138 บริษัท ปล่อยก๊าซฯ ลดลงจากปี 2566 ซึ่งมากกว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นที่มี 133 บริษัท ขณะที่อีก 3 บริษัทรายงานว่าปล่อยก๊าซฯ เท่าเดิม อย่างไรก็ตาม ปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวมเพิ่มขึ้น 9.19 ล้านตัน CO2eq จากปี 2566 
 
ในปี 2567 หมวดวัสดุก่อสร้างลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ได้มากที่สุด ขณะที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุด 
 
• บริษัทจดทะเบียนวางแผนลดก๊าซเรือนกระจกผ่าน 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานด้วย AI 2) ปรับปรุงกระบวนการผลิต 3) เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ 5) พัฒนาเทคโนโลยีเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ 6) เพิ่มพื้นที่สีเขียว
 
 
ข้อมูลที่ปรากฎในเอกสารฉบับนี้ จัดทำขึ้นบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และแนวคิดแก่ผู้อ่าน มิใช่การให้คำแนะนำด้านการลงทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมิได้ให้การรับรองในความถูกต้องของข้อมูล และไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายใดๆ ที่เกิดขึ้น อันเนื่องจากการนำข้อมูลไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดไปใช้อ้างอิง หรือเผยแพร่ไม่ว่าในลักษณะใด นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ขอสงวนสิทธิในการเปลี่ยนแปลง แก้ไข เพิ่มเติมข้อมูลไม่ว่าส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดตามหลักเกณฑ์ที่เห็นสมควร ความเห็นที่ปรากฎในรายงานฉบับนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเห็นของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
ในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 527 บริษัท เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจากข้อมูล 5 ปีย้อนหลัง พบว่า มีบริษัทจดทะเบียนจำนวนมากขึ้นที่ให้ความสำคัญและเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

จากรายงาน SET Note ฉบับที่ 14/2568 แสดงให้เห็นว่า ในปี 2567 ไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงเป็นอันดับ 3 ของอาเซียน และเป็นอันดับ 21 ของโลก ด้วยปริมาณ 422 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซต์เทียบเท่า (ล้านตัน CO2eq) เพิ่มขึ้น 2.9% จากปี 2566 และในรายงานฉบับนี้ศึกษาถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์   เอ็ม เอ ไอ (ตลาดหุ้นไทย) พบว่า ในปี 2567 บริษัทจดทะเบียนจำนวน 527 บริษัทจากทั้งหมด 861 บริษัท (91.4% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด) ได้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก  (ตารางที่ 1) และจากข้อมูลตั้งแต่ปี 2563 ถึงปัจจุบัน (ปี 2567) พบว่า บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ปล่อยก๊าซฯ) มากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากบริษัทจดทะเบียนที่เปิดเผยข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น 

 


โดยบริษัทจดทะเบียนรวมทั้ง 527 บริษัท เปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (การปล่อยก๊าซฯ) ในส่วน Scope 1 และ Scope 2 มีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวม 227.06 ล้านตัน CO2eq เพิ่มขึ้นจากในปี 2566 ที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย 518 บริษัท ปล่อยก๊าซฯ รวม 226.31 ล้านตัน CO2eq หรือมีปริมาณการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น 0.75 ล้านตัน CO2eq หรือเพิ่มขึ้น 0.3% จากปี 2566 


เมื่อเทียบเปรียบปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยกับภาพรวมของทั้งประเทศ พบว่า โดยภาพรวมปริมาณการปล่อยก๊าซของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ในปี 2567 มีอัตราการเพิ่มขึ้น 0.3% จากปี 2566 ซึ่งน้อยกว่าภาพรวมของไทยที่เพิ่มขึ้น 2.9% ส่งผลให้สัดส่วนของปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยต่อภาพรวมทั้งประเทศในปี 2567 อยู่ที่ระดับ 53.76% ลดลงจาก 55.11% ในปี 2566 (ตารางที่ 2)

บริษัทจดทะเบียน 274 บริษัทเปิดเผยข้อมูลข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ ในปี 2566 และปี 2567 และมีการทวนสอบข้อมูลแล้ว พบว่า 138 บริษัทปล่อยก๊าซฯ ลดลง ขณะที่ 133 บริษัทปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณการปล่อยก๊าซฯ รวมมีปริมาณเพิ่มขึ้น 9.19 ล้านตัน CO2eq จากปี 2566 

เมื่อพิจารณาความต่อเนื่องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ พบว่า มีบริษัทจดทะเบียนเพียง 274 บริษัท (64.5% ของมูลค่าหลักทรัพย์รวมทั้งตลาด) จากทั้งหมด 527 บริษัท ที่รายงานปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ครบทั้ง 2 ปี (ปี 2566 และปี 2567) และมีการทวนสอบข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร โดยผู้ประเมินจากภายนอก  (ภาพที่ 1) ซึ่งจะใช้ข้อมูลของบริษัทกลุ่มนี้ในการศึกษาเชิงลึกต่อไป

 

 

ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนที่ทำการศึกษา พบว่า บริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยก๊าซฯ ลดลงมีจำนวน 138 บริษัท ซึ่งมากกว่าจำนวนบริษัทจดทะเบียนที่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นที่มีจำนวน 133 บริษัท ขณะที่ 3 บริษัทรายงานว่าปล่อยก๊าซฯ เท่าเดิม และบริษัทจดทะเบียนกลุ่มนี้ปล่อยก๊าซฯ รวมเพิ่มขึ้น 9.19 ล้านตัน CO2eq (ตารางที่ 3) หรือเพิ่มขึ้น 5.98% จากปี 2566 
 
• 133 บริษัทปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น ซึ่งปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นรวม 12.14 ล้านตัน CO2eq โดย 90.03% ของปริมาณก๊าซที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดเป็นการปล่อยก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าที่อยู่ในหมวดธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค
 
• 138 บริษัทปล่อยก๊าซฯลดลง ซึ่งปล่อยก๊าซฯ รวมลดลง 2.95 ล้านตัน CO2eq โดยประมาณ 75.17% ของปริมาณก๊าซที่ลดลงทั้งหมด เป็นผลจากการปล่อยก๊าซฯ ที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นผู้ผลิตปูนซีเมนต์จากการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการใช้พลังงาน อาทิ ใช้ขยะเป็นพลังงานแทนการใช้ถ่านหิน การเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทน การพัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ เป็นต้น

ในปี 2567 หมวดวัสดุก่อสร้างลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากที่สุด ขณะที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภคเป็นหมวดธุรกิจที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดและปล่อยก๊าซเพิ่มขึ้นมากที่สุดด้วย

ในปี 2567 กลุ่มทรัพยากรปล่อยก๊าซฯ Scope 1 และ Scope 2 รวมมากที่สุด 88.29 ล้านตัน CO2eq ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง 36.89 ล้านตัน CO2eq และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม 36.89 ล้านตัน CO2eq และ ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มธุรกิจการเงินปล่อยก๊าซฯ น้อยที่สุด 0.40 ล้านตัน CO2eq (ตารางที่ 4)
 
กลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้างเป็นกลุ่มที่ปล่อยก๊าซฯ ลดลงมากที่สุด โดยลดลง 2.07 ล้านตัน CO2eq จากปี 2566 จากการปล่อยก๊าซฯ ที่ลดลงของบริษัทจดทะเบียนในหมวดวัสดุก่อสร้าง ขณะที่กลุ่มทรัพยากรที่ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้นถึง 10.55 ล้านตัน CO2eq จากปี 2566 ที่สำคัญจากการปล่อยก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นของบริษัทจดทะเบียนในหมวดพลังงานและสาธารณูปโภคเป็นสำคัญ

 
 
• หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค หมวดวัสดุก่อสร้าง และหมวดปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ เป็นหมวดธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซฯ รวมสูงสุด 3 อันดับแรก
 
• หมวดประกันภัยและประกันชีวิต หมวดสื่อและสิ่งพิมพ์ และหมวดเงินทุนและหลักทรัพย์ เป็นหมวดธุรกิจที่มีการปล่อยก๊าซฯ รวมน้อยที่สุด 3 อันดับแรก
 
• หมวดวัสดุก่อสร้างลดปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ได้มากที่สุด โดยลดลง 2.12 ล้านตัน CO2eq ขณะที่หมวดพลังงานและสาธารณูปโภค ปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 10.55 ล้านตัน CO2eq

บริษัทจดทะเบียนวางแผนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่าน 6 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน 2) ปรับปรุงกระบวนการผลิต 3) เปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด 4) พัฒนาผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำ 5) พัฒนาเทคโนโลยีเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ6)เพิ่มพื้นที่สีเขียว

จากการศึกษาวิธีการที่บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยวางแผนเพื่อใช้ในการลดปริมาณก๊าซฯ โดยศึกษาจากข้อมูลที่เปิดเผยสาธารณะ ทั้งจากแบบฟอร์ม 56-1 One Report รายงานความยั่งยืน และเว็บไซต์ของบริษัทจดทะเบียนที่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ในปริมาณมากในปี 2567 สามารถสรุปได้ 6 กลยุทธ์ (ภาพที่ 2) ดังนี้
 

 

1. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน (Energy Efficiency & Optimization)
 
• ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และเทคโนโลยีมาใช้ควบคุมและปรับปรุงเครื่องจักรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและประหยัดพลังงาน
 
วิเคราะห์ข้อมูลการเดินเครื่องจักรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับตั้งค่าเครื่องจักร (เช่น หอกลั่น, เตาเผา) ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และใช้ในการประเมินความผิดปกติของเครื่องจักรก่อนเกิดความเสียหาย 
 
ใช้โซลูชันซอฟต์แวร์ "Advanced Process Control (APC)” เพื่อควบคุมการทำงานของเครื่องจักร
 
บริหารการจัดซื้อจัดหาตลอดทั้งกระบวนการ เพื่อลดต้นทุนการบริหารจัดการและลดการใช้พลังงาน 
 
• เปลี่ยนเครื่องจักรเก่าที่ใช้พลังงานมากให้เป็นรุ่นใหม่ที่ประหยัดพลังงานกว่า 
 
เปลี่ยนอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการแยกไฮโดรคาร์บอนและลดการเผาก๊าซส่วนเกินหรือติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมที่ปล่องเผาก๊าซเพื่อใช้กับก๊าซที่มีค่าความร้อนต่ำในธุรกิจพลังงาน
 
2. ปรับปรุงกระบวนการผลิต (Production Process Improvement)
 
• ปรับปรุงกระบวนการผลิตเพื่อลดคาร์บอนไดออกไซด์ในขั้นตอนการผลิต
 
เปลี่ยนไปใช้วัตถุดิบลดการปล่อยคาร์บอนออกไซต์ เช่น ธุรกิจปิโตรเคมี ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ และก่อสร้าง ใช้เม็ดพลาสติกรีไซเคิลเป็นวัตถุดิบการผลิตแทนการใช้พลาสติกจากปิโตรเคมี 
 
ใช้วัตถุดิบรีไซเคิลหรือวัสดุจากผลิตภัณฑ์พลอยได้จากกระบวนการผลิตอื่นๆ เพื่อลดการพึ่งพาวัตถุดิบใหม่ 
 
ในกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์ที่ติดตั้งระบบโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนทิ้ง (WHR Power Plant) ที่จะดักจับไอร้อนที่ปล่อยทิ้งไปในอากาศมาต้มน้ำและปั่นไฟฟ้านำกลับมาใช้ในโรงงาน
 
ใช้โซลูชันการพิมพ์คอนกรีต 3 มิติ (CPAC 3D Printing) ในธุรกิจก่อสร้าง ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการออกแบบ ลดระยะเวลาในการก่อสร้าง ประหยัดแรงงาน ลดการใช้วัสดุและวัสดุเหลือใช้จากการก่อสร้าง
 
3. เปลี่ยนแหล่งพลังงานฟอสซิลสู่พลังงานสะอาด (Energy Transformation)
 
• เพิ่มสัดส่วนพลังงานทางเลือก โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล (วัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร ของเสีย และเชื้อเพลิงจากขยะ) ทดแทนการใช้พลังงานจากฟอสซิล
 
• ผลิตไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ 
ลงทุนและดำเนินงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม 
ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์หรือแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ เพื่อผลิตไฟฟ้าใช้เอง 
ใช้ชานหรือกากอ้อยที่เหลือจากกระบวนการผลิตน้ำตาลมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตไฟฟ้า
 
• สร้างรายได้จากพลังงานสะอาด โดยการขายไฟฟ้าส่วนที่เหลือจากการใช้งานให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) / การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.)
 
4. สร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก (Sustainable Products & Packaging) 
 
• พัฒนาสินค้าคาร์บอนต่ำ (Green Products)ออกแบบและผลิตสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม 
 
ลดการปล่อยคาร์บอนตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ อาทิ การผลิตพลาสติกชีวภาพจากวัตถุดิบทางการเกษตรซึ่งย่อยได้ตามธรรมชาติ เป็นต้น
 
ผลิตซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ซึ่งลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซต์ในกระบวนการผลิตเมื่อเทียบกับซีเมนต์แบบทั่วไป 
 
พัฒนาเม็ดพลาสติกชีวภาพจากมันสำปะหลังสำหรับผลิตสินค้าที่ย่อยสลายได้ เช่น หลอดดื่มน้ำ หรือฟิล์มคลุมดิน 
 
ผลิตโปรตีนจากพืช (Plant-based) ที่ในกระบวนการผลิตปล่อยคาร์บอนต่ำกว่าเนื้อสัตว์จริง 
• การผลิตบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก ที่สามารถย่อยสลายได้ตามธรรมชาติ หรือการทยอย / ยกเลิกการใช้พลาสติกหรือพีวีซี ในบรรจุภัณฑ์ทั้งหมด
• สร้างตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์รักษ์โลก
 
5. พัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและการกักเก็บเพื่อใช้ประโยชน์จากคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนแล้วนำมากักเก็บไว้ใต้ดินแบบถาวร (Carbon Capture and Storage: CCS) หรือใช้เป็นวัตถุดิบในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น (Carbon Capture and Utilization: CCU) ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยี CCS และออกแบบด้านวิศวกรรมเสร็จแล้วและคาดว่าจะสามารถเริ่มใช้เทคโนโลยี CCS ที่แหล่งก๊าซธรรมชาติอาทิตย์ได้ในปี 2571 ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมในปริมาณมาก

6. การปลูกป่าเพื่อเพิ่มการดูดซับคาร์บอน (Reforestation for Carbon Sequestration)
• ปลููกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว
• ลงทุนในโครงการปลูกต้นไม้ เพื่อช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศตามกลไกธรรมชาติ
 
การใช้ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยยังมีข้อจำกัด บริษัทจดทะเบียนควรให้ความสำคัญและข้อมูลควรผ่านกระบวนการทวนสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ อีกทั้งผู้รับผิดชอบในการรายงานต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล จะช่วยให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ สามารถนำไปผลิตงานวิจัยเชิงนโยบาย และเพิ่มโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนเข้าถึงเงินทุนสีเขียวและการลงทุนยั่งยืน
 
จากการจัดทำรายงานฉบับนี้ พบถึงปัญหาตลอดจนข้อจำกัดในการใช้ข้อมูล และมีความจำเป็นต้องยกระดับการรายงาน เพื่อให้ข้อมูลมีความครบถ้วนและน่าเชื่อถือมากขึ้น ซึ่งสามารถสรุปได้ดังนี้
 
• ข้อจำกัดด้านความครบถ้วนของข้อมูล 
จำนวนบริษัทที่เปิดเผยข้อมูลยังมีจำกัดและข้อมูลที่เปิดเผยยังไม่ครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกขอบเขต ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกหรือประเมินแนวโน้มระยะยาวได้ เนื่องจากข้อมูลไม่เพียงพอ 
 
• ปัญหาด้านความถูกต้องและความสอดคล้องของข้อมูล อาทิ 1) การใช้หน่วยวัดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เหมือนกันในแต่ละปี 2) การรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซไม่แยกตามขอบเขต หรือตัวเลขรวมไม่สอดคล้องกับผลรวมแต่ละขอบเขต และ 3) การระบุรายละเอียดการทวนสอบที่ไม่ชัดเจนหรือไม่ถูกต้อง ซึ่งส่งผลต่อความน่าเชื่อถือของข้อมูลโดยรวม
 
ข้อจำกัดและปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อการนำข้อมูลไปใช้ กล่าวคือ ต้องใช้เวลานานในการปรับปรุงและตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดการแปลผลผิดพลาดหากขาดการตรวจสอบที่ดี 
 
แนวทางแก้ไขปัญหา คือ บริษัทจดทะเบียนควรให้ความสำคัญกับเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซฯ เพิ่มขึ้น และควรจัดจ้างผู้เชี่ยวชาญทวนสอบข้อมูล และให้ความสำคัญกับผู้รับผิดชอบในการรายงานข้อมูลที่ต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูล ซึ่งจะช่วยให้ข้อมูลมีความน่าเชื่อถือ ผู้ที่สนใจสามารถนำไปผลิตงานวิจัยเชิงนโยบายได้ ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน เสริมความโปร่งใสของตลาดทุน และเพิ่มโอกาสให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเข้าถึงเงินทุนสีเขียวและการลงทุนยั่งยืนได้ 
 
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้พัฒนาและให้บริการเครื่องมือที่สนับสนุนให้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยให้สามารถบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจกในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นผ่าน 2 ระบบ ได้แก่ “SETCarbon” ซึ่งเป็นระบบจัดการข้อมูลครบวงจร ตั้งแต่จัดเก็บ คำนวณ และทวนสอบข้อมูล โดยระบบ SETCarbon จะคำนวณการ”ปล่อย”ก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ช่วยให้องค์กรสามารถบริหารและทวนสอบข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างถูกต้องตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.setlink.set.or.th และ “Climate Care Platform” แพลตฟอร์มที่เป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการข้อมูล กิจกรรมการ  “ลด” ก๊าซเรือนกระจกในองค์กร ซึ่งเปิดให้บริการแก่ทั้งบริษัทจดทะเบียน หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนที่มีการจัดทำแผนการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างเป็นรูปธรรม โดยครอบคลุมทรัพยากรหลักขององค์กร ได้แก่ เชื้อเพลิง ไฟฟ้า น้ำ กระดาษ พลาสติก รวมถึง การจัดการขยะและของเสีย ซึ่งสามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://climatecare.setgroup.or.th/ 
 
ทั้ง SETCarbon และ Climate Care Platform จะช่วยลดเวลาและต้นทุนในการบริหารจัดการข้อมูล พร้อมทั้งให้ผลการคำนวณที่เป็นไปตามมาตรฐานและแสดงผลแบบเรียลไทม์ ส่งผลให้องค์กรสามารถยกระดับคุณภาพการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจก และขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 
 
โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า บริษัทจดทะเบียนให้ความสำคัญในการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มขึ้น โดยมีการจัดทำรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น และบริษัทจดทะเบียนบางบริษัทได้ดำเนินการต่อเนื่องหลายปีทำให้มีข้อมูลอ้างอิงในการวางเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งจะช่วยให้บริษัทจดทะเบียนสามารถเตรียมความพร้อมในการรับมือมาตรการต่างๆ ของต่างประเทศที่ใช้ประเด็นการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า ซึ่งสามารถติดตามอ่านได้ใน SET Note ฉบับต่อไป 

LastUpdate 13/11/2568 18:54:41 โดย :
14-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (13 พ.ย.68) บวก 2.63 จุด ดัชนี 1,287.44 จุด

2. พยากรณ์อากาศวันนี้ (13 พ.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 10% และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ย.68) บวก 3.14 จุด ดัชนี 1,287.95 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,180-4,150 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,250 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 326.86 จุด รับความหวังชัตดาวน์ใกล้สิ้นสุดลง

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.30-32.55 บาท / ดอลลาร์

7. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่ง 97.3 ดอลลาร์ รับบอนด์ยีลด์ร่วง-ชัตดาวน์ใกล้ยุติ

8. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (13 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 32.36 บาทต่อดอลลาร์

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (13 พ.ย. 68) พุ่งขึ้น 850 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,050 บาท

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (13 พ.ย.68) บวก 3.83 จุด ดัชนี 1,288.64 จุด

11. ตลาดหุ้นปิด (12 พ.ย.68) ลบ 15.66 จุด ดัชนี 1,284.81 จุด

12. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (12 พ.ย.68) ลบ 7.81 จุด ดัชนี 1,292.66 จุด

13. MTS Gold ราคาทองประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,070-4,100 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,150-4,200 เหรียญ

14. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 พ.ย. 68) ลดลง 50 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,250 บาท

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (12 พ.ย.68) ลมหนาวเยือนภาคอีสาน อุณหภูมิลด 1-2 องศา ยอดดอย 10 องศา,ประเทศไทยตอนบนยังมีฝนบางแห่ง 20% กทม. 30% ภาคตะวันออก 40% ภาคใต้ 30-40%

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 14, 2025, 2:59 am