เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
S&P Global Ratings จัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย "มีเสถียรภาพ" สะท้อนความเชื่อมั่น ต่อนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้น ความโปร่งใส และรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด


 

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า 
ในวันนี้ (วันที่ 14 พฤศจิกายน 2568) บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดสำคัญ ดังนี้

• S&P คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ร้อยละ 2.3 และ 2.0 ตามลำดับ เนื่องจากการดำเนินนโยบายการคลังของรัฐบาลมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (External Risks) และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ อีกทั้งคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) ในปี 2568 – 2571 จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 2.3 ขณะที่รายได้ต่อหัว (Income per capita) ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ เป็นประมาณ 9,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น

• S&P มองว่า รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนภาครัฐ (Public Investment) ที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public-Private Partnerships: PPP) จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนบางส่วนของรัฐบาล อีกทั้งการลงทุนในโครงการเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไป

• แม้ว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 24.1 ล้านคน ลดลงประมาณร้อยละ 7.6 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ S&P มองว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2569 ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการยกระดับความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและเร่งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว

• หนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (Net General Government Debt to GDP) คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 3 อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับรัฐบาลมีการออกมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออกและภาคธุรกิจจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลก รวมถึงโครงการคนละครึ่งพลัส ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ

• นอกจากนี้ S&P มองว่า ประเทศไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยคาดว่า ตั้งแต่ปี 2568 – 2571 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ของ GDP และมีฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิด้านสินทรัพย์ (Net Asset Position) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 27 ของภาระการชำระค่าใช้จ่ายตามดุลบัญชีเดินสะพัด อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง

• ปัจจัยสำคัญที่ S&P จะติดตามสำหรับการพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ระดับเดียวกัน (Peers) รายได้ต่อหัว (Income per capita) และแนวโน้มของการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation) นอกจากนี้ S&P ยังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความต่อเนื่องในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจ

จากผลการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการดำเนินงานบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win” ที่ประกอบด้วย 5 เสาหลัก ได้แก่ การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดภาระประชาชน การส่งเสริม SMEs การเพิ่มการออมให้ประชาชน และการลงทุนเพื่ออนาคต โดยมีมาตรการและโครงการที่ได้ทยอยออกมาแล้ว อาทิ คนละครึ่งพลัส เที่ยวดีมีคืน การเร่งการเบิกจ่ายโครงการลงทุนของภาครัฐ ปิดหนี้ไวไปต่อได้ เป็นต้น โดยทั้ง 5 เสาหลัก นี้ มี “ฐานราก” ที่รัฐบาลให้ความสำคัญ คือการรักษาเสถียรภาพทางการคลังของประเทศ

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพด้านการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ และระบบธนาคารพาณิชย์มีฐานะมั่นคง รวมถึงรัฐบาลได้มีการวางกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium - Term Fiscal Framework: MTFF) ผ่าน 3 แนวทางหลัก คือ

1) การกำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม 

2) การปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง รวมถึงการยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลังต่างๆ และรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษีต่าง ๆ เพื่อทำให้สามารถบังคับวินัยการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3) การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของการจัดการภาระการคลัง

โดยกรอบแผนการคลังนี้มีเป้าหมายคือ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือและสาธารณชนมั่นใจ รวมถึงเป็นการวางรากฐานเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาวเพื่อความยั่งยืนสืบไป
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 14 พ.ย. 2568 เวลา : 14:38:02
16-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (14 พ.ย.68) ลบ 18.18 จุด ดัชนี 1,269.26 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (14 พ.ย.68) ลบ 20.07 จุด ดัชนี 1,267.37 จุด

3. พยากรณ์อากาศวันนี้ (14 พ.ย.68) ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อุณหภูมิลดลง 1-2 องศา "ยอดดอย - ยอดภู" อากาศหนาวเย็น 9-10 องศา "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40%

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (13 พ.ย.68) ร่วง 797.60 จุด นักลงทุนลดความคาดหวังเฟดลดดอกเบี้ยเดือนธ.ค.

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (13 พ.ย.68) ลบ 19.1 ดอลลาร์ วิตกเฟดเมินลดดอกเบี้ย

6. MTS Gold คาดราคาทองคำทิศทางโดยรวมยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น "Sideway Up" แนวรับที่ 63,800 บาท และแนวต้านที่ 64,700 บาท

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (14 พ.ย.68) ร่วงลง 600 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,950 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (14 พ.ย.68) ลบ 7.35 จุด ดัชนี 1,280.09 จุด

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (14 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 32.37 บาทต่อดอลลาร์

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25 - 32.50 บาท / ดอลลาร์

11. ตลาดหุ้นปิด (13 พ.ย.68) บวก 2.63 จุด ดัชนี 1,287.44 จุด

12. พยากรณ์อากาศวันนี้ (13 พ.ย.68) "กรุงเทพปริมณฑล-ภาคกลาง-ภาคตะวันออก-ภาคใต้" ฝนฟ้าคะนอง 40% ภาคเหนือ 30% ภาคอีสาน 10% และอุณหภูมิลดลง 1-3 องศา

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (13 พ.ย.68) บวก 3.14 จุด ดัชนี 1,287.95 จุด

14. MTS Gold คาดราคาทองคำ จะมีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,180-4,150 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,250 เหรียญ

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (12 พ.ย.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 326.86 จุด รับความหวังชัตดาวน์ใกล้สิ้นสุดลง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 16, 2025, 5:50 am