เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "แนวโน้มธุรกิจปุ๋ยเคมีไทย"


· ในปี 2569 ยอดขายปุ๋ยเคมีของไทย คาดว่าจะอยู่ที่ 94,627 ล้านบาท หรือโต 0.5% ชะลอลงจากปี 2568 ที่โต 1.5% ตามความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีที่เพิ่มขึ้นไม่มาก และราคาขายปุ๋ยเคมีในประเทศที่ปรับลดลง ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลก

· ราคาขายปุ๋ยเคมีไทยในปี 2569 คาดว่าลดลง 1.5% จะช่วยหนุนความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีไทยให้โต 2.1% ไปอยู่ที่ 4.49 ล้านตัน ตามราคาสินค้าเกษตรรายการหลักที่อาจขยับขึ้นเล็กน้อยอย่างข้าวและปาล์มน้ำมัน จึงจูงใจให้เกษตรกรมีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิต

 
ตลาดปุ๋ยเคมีแข่งขันสูงจากผู้เล่นมากราย โดยมีรายกลาง-ใหญ่ครองส่วนแบ่งตลาดเป็นหลัก

ปัจจุบันตลาดปุ๋ยเคมีแข่งขันสูงจากผู้เล่นจำนวนมากกว่า 685 ราย1 โดยส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นรายเล็ก ซึ่งจะแข่งขันได้ยาก เนื่องจากมีการผลิตปุ๋ยเคมีที่คุณภาพไม่สม่ำเสมอ จึงเป็นข้อจำกัดในการเพิ่มกำลังการผลิต ส่งผลต่อสัดส่วนจำนวนผู้เล่นลดลงจาก 90.1% ในปี 2564 เป็น 89.5% ในปี 2567 และยังสร้างสัดส่วนรายได้เพียง 7% ของรายได้ปุ๋ยเคมีทั้งหมด ขณะที่ผู้เล่นรายกลาง-ใหญ่จะได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ และยังมีกลยุทธ์ส่งเสริมการขายต่อเนื่อง จึงสามารถจำหน่ายปุ๋ยเคมีได้ตลอดทั้งปี ทำให้แม้จะมีสัดส่วนจำนวนผู้เล่นเพียง 10% แต่กลับมีสัดส่วนรายได้ถึง 93% ของรายได้ปุ๋ยเคมีทั้งหมด (รูปที่ 2)

 
อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ของธุรกิจปุ๋ยเคมีอยู่ในระดับที่ไม่สูงนักเฉลี่ยที่ราว 15% เนื่องจากการแข่งขันรุนแรง และผู้ผลิตที่นำเข้าปุ๋ยเคมีต้องมีต้นทุนเพิ่มจากการปกป้องความเสี่ยงจากค่าเงินที่ผันผวนในบางช่วงเวลา นอกจากนี้ การที่ปุ๋ยเคมีเป็นสินค้าควบคุม ทำให้ราคาจำหน่ายในประเทศปรับขึ้นได้จำกัด

ยอดขายปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2569 คาดอยู่ที่ 94,627 ล้านบาท

ในปี 2569 ยอดขายปุ๋ยเคมีไทย คาดว่าจะโตได้เพียงเล็กน้อยที่ 0.5% ชะลอลงจากปี 2568 ที่โต1.5% (รูปที่ 3) ตามความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีที่โตได้ไม่มาก และราคาขายปุ๋ยเคมีที่ปรับลดลง

 
ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2569 คาดอยู่ที่ 4.49 ล้านตัน

ในปี 2569 ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีไทย คาดว่าจะเติบโตที่ 2.1% เทียบจากปี 2568 ที่หดตัว 1.9% (รูปที่ 4) ทั้งนี้ ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2569 จะยังเป็นระดับที่ต่ำกว่าความต้องการใช้ในระดับปกติ2 ที่อยู่ที่ 4.7 ล้านตัน3 ซึ่งคาดว่าความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยจากนี้ไปอาจเพิ่มขึ้นได้ไม่มาก จากปัจจัยลบด้านการเกษตรที่ไม่เอื้ออำนวยนักโดยเฉพาะในด้านราคาสินค้าเกษตรที่ยังคงซบเซา

 
สำหรับปัจจัยสำคัญที่หนุนความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2569 คือ ราคาสินค้าเกษตรในรายการสำคัญที่น่าจะขยับขึ้นได้เล็กน้อย จะจูงใจให้เกษตรกรมีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีมากขึ้น เพื่อเพิ่มผลผลิต ทั้งนี้ ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีจะมีความสัมพันธ์ไปในทิศทางเดียวกับราคาสินค้าเกษตร (รูปที่ 5)
 
 

 
 
ทั้งนี้ ในปี 2569 คาดว่าราคาข้าวและปาล์มน้ำมันอาจปรับขึ้นได้เล็กน้อย (รูปที่ 6) ตามสภาพอากาศในช่วงครึ่งปีหลังที่อาจพลิกกลับมาเป็นปรากฏการณ์เอลนีโญ4 และเป็นไปตามราคาตลาดโลก5
 
นอกจากนี้ ข้าวและปาล์มน้ำมัน ยังเป็นพืชที่มีสัดส่วนการใช้ปุ๋ยเคมีรวมกันมากกว่า 54% ของปริมาณความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีในพืชเกษตรทั้งหมด (รูปที่ 7) จะช่วยหนุนให้ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น

 
ราคาขายปุ๋ยเคมีของไทยในปี 2569 คาดลดลงอยู่ที่ 21,075 บาทต่อตัน

ในปี 2569 ราคาขายปุ๋ยเคมีในประเทศ คาดว่าจะปรับลดลง 1.5% (รูปที่ 8) เป็นไปตามราคาวัตถุดิบตั้งต้นสำคัญเพื่อผลิตปุ๋ยเคมีอย่างก๊าซธรรมชาติ ที่คาดว่าในปี 2569 ราคาก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกจะลดลงราว 10.7%6 ทั้งนี้ ไทยนำเข้าปุ๋ยเคมีเป็นหลัก7 ทำให้ราคานำเข้าปุ๋ยเคมีของไทยจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับราคาปุ๋ยเคมีในตลาดโลก (รูปที่ 9)

 
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมปุ๋ยเคมีไทยในระยะกลาง-ยาว

คาดว่า ความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีไทยคงโตจำกัด ขณะที่ราคายังเสี่ยงไม่แน่นอนตามตลาดโลก

· แม้จะมีความต้องการบริโภคพืชอาหารรองรับตามเทรนด์ความมั่นคงด้านอาหาร แต่ประเทศผู้นำเข้าอาหารหลักได้หันมาผลิตอาหารเอง จะกดดันการใช้ปุ๋ยเคมีของไทยที่เป็นผู้ส่งออกสินค้าเกษตรหลักของโลก โดยประเทศที่บริโภคอาหารรายใหญ่ของโลกอย่างจีน ได้มีนโยบายผลิตอาหารเองมากขึ้นเพื่อลดการนำเข้า ผ่านแผนสร้างประเทศเกษตรกรรมเข้มแข็งภายในปี 2578 ที่จีนจะเพิ่มผลผลิตสินค้าเกษตรไปพร้อมกับพัฒนาเทคโนโลยีเกษตร ที่มีเป้าหมายเพิ่มผลผลิตข้าวและธัญพืชให้มากกว่า 700 ล้านตันต่อปีและจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมาตรฐานสูงเป็น 72 ล้านเฮกตาร์ รวมถึงสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวโพด8เพื่อใช้ในอุตสาหกรรมอาหารสัตว์และพลังงานทางเลือก

· ความต้องการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ของไทยเพิ่มขึ้น จะกระทบการใช้ปุ๋ยเคมี โดยไทยมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ในปี 2567 อยู่ที่ 1.51 ล้านไร่ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 8.4 เท่าจากปี 2560 อีกทั้งภาครัฐยังมีเป้าหมายในปี 2570 ที่จะมีพื้นที่เกษตรอินทรีย์ที่ 2 ล้านไร่ ส่งผลหนุนการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ทั้งนี้ จะสอดคล้องไปกับเทรนด์โลกที่ต้องการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งปุ๋ยเคมีโดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจนจะปล่อยก๊าซคาร์บอนได ออกไซด์ถึง 21.5% ของปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยทั้งหมดในภาคเกษตรโลก

· ต้นทุนการผลิตปุ๋ยเคมีผันผวนสูงตามราคาพลังงานโลก จากความไม่แน่นอนหลายด้านของโลก เช่น ประเด็นภูมิรัฐศาสตร์ เศรษฐกิจโลก และภัยพิบัติทางธรรมชาติ เป็นต้น ที่ส่งผลต่ออุปทานและราคาก๊าซธรรมชาติ/ราคาน้ำมันดิบโลก จะกระทบต่อต้นทุนนำเข้าปุ๋ยเคมีของไทยให้มีความไม่แน่นอนสูง จึงกำหนดราคาขายในประเทศได้ยากและมีผลต่อการทำกำไร
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 19 พ.ย. 2568 เวลา : 16:10:35
20-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 24 พ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประชาชื่น

2. ตลาดหุ้นปิด (19 พ.ย.68) บวก 2.13 จุด ดัชนี 1,272.17 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (19 พ.ย.68) ลบ 4.20 จุด ดัชนี 1,265.84 จุด

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่ิอคืน (18 พ.ย.68) ลบ 8 เหรียญ จับตาตัวเลขจ้างงานประเมินดอกเบี้ยเฟด

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (18 พ.ย.68) ร่วง 498.50 จุด นักลงทุนกังวลฟองสบู่ AI-ผิดหวังผลประกอบการ Home Depot

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.25-32.50บาท/ดอลลาร์

7. ประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิลดลงกับมีลมแรง ภาคอีสาน อุณหภูมิลด 2-4 องศา ภาคเหนือ-ภาคกลาง-กรุงเทพปริมณฑล ภาคตะวันออก ลด 1-3 องศา ภาคใต้ ฝน 70-80%

8. MTS Gold คาดราคาทองคำมีโอกาสฟื้นตัวต่อไปได้ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,020-4,000 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,100-4,120 เหรียญ

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (19 พ.ย.68) บวก 1.81 จุด ดัชนี 1,271.85 จุด

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (19 พ.ย. 68) ปรับขึ้น 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 63,050 บาท

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (19 พ.ย.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 32.38 บาทต่อดอลลาร์

12. ประกาศ กปน.: 20 พ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนพระสุเมรุ

13. ตลาดหุ้นปิด (18 พ.ย.68) ลบ 10.03 จุด ดัชนี 1,270.04 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (18 พ.ย.68) ลบ 10.14 จุด ดัชนี 1,269.93 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (17 พ.ย.68) ลบ 19.7 เหรียญ เหตุดอลลาร์แข็งค่าฉุดตลาด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 20, 2025, 5:26 am