เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "แนวโน้มธุรกิจคลังสินค้า"


ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าที่มีสัญญาเช่ามีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง 10.2%YOY มาอยู่ที่ราว 5.03 ล้านตารางเมตรในปี 2025 และคาดว่าจะเติบโตในอัตราชะลอตัวลงที่ 4.7%YOY ในปี 2026 มาอยู่ที่ราว 5.26 ล้านตารางเมตร โดยความต้องการใช้งานพื้นที่คลังสินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก 1) การเริ่มเดินสายการผลิตของโรงงานที่กระจายฐานการผลิตมาไทยในช่วงปี 2022-2024 ทำให้เกิดความต้องการพื้นที่จัดเก็บวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ และสินค้าสำเร็จรูป  2) การนำเข้าและส่งออกของไทยในปี 2025 ที่คาดว่าเติบโต 5.5%YOY และ 5.3%YOY ตามลำดับ แต่มีแนวโน้มหดตัวลงในปี 2026 จากผลของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกชัดเจนขึ้น อย่างไรก็ดี การเร่งระบายสินค้าส่วนเกินของผู้ผลิตในจีนมาไทย (China Influx) ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ยังคงเป็นปัจจัยหนุนต่อความต้องการพื้นที่คลังสินค้าให้ยังคงขยายตัวได้ และ 3) ตลาด E-commerce ที่ยังมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชินกับการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์และการแข่งขันกับช่องทางออฟไลน์ด้วยการส่งสินค้าที่รวดเร็วขึ้น อีกทั้ง นโยบายคนละครึ่งพลัสของภาครัฐที่มีกำหนดเริ่มใช้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่เข้ามาช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายภาคเอกชนในช่วงปลายปี 2025 ในขณะที่ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าตามแผนของผู้ให้บริการรายเดิมและการเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการรายใหม่ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9.9%YOY อยู่ที่ 6.22 ล้านตารางเมตร ในปี 2025 และขยายตัวที่ 5.3%YOY มาอยู่ที่ 6.55 ล้านตารางเมตรในปี 2026 เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการพื้นที่คลังสินค้าที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะข้างหน้า โดยส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit (รูปแบบคลังสินค้าที่ออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่าแต่ละราย) ซึ่งทำสัญญาเช่าระยะยาวล่วงหน้าก่อนเริ่มการก่อสร้าง จึงทำให้อัตราการปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าอยู่ที่ 80.9% ในปี 2025 และ 80.4% ในปี 2026 

อย่างไรก็ดี ธุรกิจคลังสินค้ายังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ ทั้งจากนโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการผลิตสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงสินค้าที่ถูกพิจารณาเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ส่งผ่านมายังไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ และความผันผวนของเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกของไทยลดลง และส่งผลให้ความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าทั้งการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปปรับตัวลดลงตามไปด้วย รวมถึงต้นทุนการพัฒนาคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น รวมถึงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้พัฒนาคลังสินค้าต้องยกระดับการก่อสร้างและระบบบริหารจัดการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

นอกจากนี้ การแข่งขันในธุรกิจคลังสินค้ายังมีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น จากการขยายพื้นที่คลังสินค้าของผู้ให้บริการรายเดิม และการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ ทำให้นอกจากทำเลที่ตั้งของคลังสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดแล้ว การสร้างความแตกต่างผ่านการนำเสนอบริการที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มจะสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้ อาทิ 1) การให้บริการเสริมที่ยืดหยุ่นและตอบโจทย์ความต้องการ ซึ่งผู้เช่าสามารถเลือกใช้บริการที่มีอยู่หลากหลายได้ตามต้องการ เช่น การตรวจสอบคุณภาพสินค้า และการตรวจสอบสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์  2) การลงทุนในเทคโนโลยีและการให้บริการระบบอัตโนมัติที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการดำเนินงานให้แก่ผู้เช่าได้ และ 3) การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ และคลังสินค้าสำหรับสินค้าอันตราย รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็กในเมือง (Micro-Fulfillment) สำหรับการจัดส่งด่วนที่มาพร้อมกับการบริการขนส่งสินค้าผ่านความร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่งที่มีความเชี่ยวชาญ นอกจากนี้ การนำแนวทางพัฒนาคลังสินค้าสีเขียว (Green warehouse) ที่เน้นใช้พลังงานสะอาดและดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสามารถดึงดูดผู้เช่าคลังสินค้าที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน อีกทั้ง ยังเป็นโอกาสในการเติบโตได้ในระยะยาว

Industry overview
 
ธุรกิจคลังสินค้าเป็นหนึ่งในบริการโลจิสติกส์ที่ให้เช่าพื้นที่จัดเก็บและบริหารจัดการสินค้า โดยปัจจุบันคลังสินค้าสามารถแบ่งได้หลายรูปแบบ ตั้งแต่การให้เช่าพื้นที่โล่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นพื้นฐาน ไปจนถึงการให้เช่าพื้นที่พร้อมบริการด้านเทคโนโลยีดิจิทัลที่ทันสมัย อย่างเช่นระบบจัดการคลังสินค้า (WMS : Warehouse Management System) ระบบจัดเก็บและเรียกค้นสินค้าอัตโนมัติ (ASRS : Automated Storage/Retrieval System) เทคโนโลยี IoT และระบบวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ หรือแบ่งรูปแบบคลังสินค้าตามการออกแบบ ได้แก่ คลังสินค้าแบบ Ready-Built หรือคลังสินค้าสำเร็จรูป โดยผู้ให้บริการจะออกแบบและก่อสร้างไว้ล่วงหน้าตามมาตรฐานทั่วไปพร้อมให้ผู้เช่าเข้าใช้งานได้ทันที เหมาะสำหรับธุรกิจที่ต้องการความรวดเร็วและความต้องการที่ไม่ซับซ้อน และคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ที่ออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่าแต่ละราย
 
สำหรับธุรกิจให้บริการคลังสินค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สามารถจำแนกได้เป็น 2 กลุ่มหลัก ประกอบด้วย 1. กลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์ ได้แก่ III, KWC, LEO, MPJ,SINO, SJWD และ WICE ซึ่งให้บริการด้านโลจิสติกส์ครบวงจร ตั้งแต่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าภายในคลัง บริการขนส่งสินค้า รวมถึงบริการอื่น ๆ เช่น การบรรจุภัณฑ์ และ 2. กลุ่มผู้ประกอบการนิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ FPT, WHA และ WIN ซึ่งเน้นให้บริการพื้นที่จัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าภายในคลังสินค้า ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคม/เขต/สวนอุตสาหกรรม โดยคลังสินค้าของผู้ให้บริการทั้ง 2 กลุ่ม ครอบคลุมทั้งคลังสินค้าแบบ Ready-Built และคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit ซึ่งส่วนใหญ่จะเสนอบริการด้านเทคโนโลยีทันสมัยที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าภายในคลังสินค้าด้วย
 
รูปที่ 1 : โครงสร้างห่วงโซ่ของธุรกิจคลังสินค้าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
 
 
หมายเหตุ : *ผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SET 
 
ในช่วงปี 2021-2024 พื้นที่คลังสินค้าที่มีสัญญาเช่าเติบโตราว 7%CAGR ตามการขยายตัวของตลาด E-commerce รวมถึงการเติบโตของการบริโภคภาคเอกชนและการนำเข้า/ส่งออก โดย 1) ธุรกิจ E-commerce เติบโตสูงถึง 20%CAGR จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่นิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2) การบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวและการกลับมาของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในไทยช่วยกระตุ้นความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคให้เพิ่มสูงขึ้น และ 3) การนำเข้า/ส่งออกที่เติบโต ซึ่งช่วยหนุนความต้องการพื้นที่จัดเก็บและกระจายสินค้าโดยเฉพาะในเขตอุตสาหกรรม
 
ขณะที่ปริมาณพื้นที่ให้เช่าคลังสินค้าขยายตัวราว 11.1%CAGR ในช่วง 2021-2024 ซึ่งสูงกว่าการเติบโตของความต้องการพื้นที่คลังสินค้า จากการเร่งพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าใหม่ของผู้ให้บริการรายใหญ่ เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการพื้นที่เช่าคลังสินค้าที่มีโอกาสเพิ่มสูงขึ้นในระยะต่อไปจากการกระจายฐานการผลิตเข้ามาไทยของนักลงทุนต่างชาติเพื่อลดความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สะท้อนได้จากมูลค่าอนุมัติส่งเสริมการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ที่เติบโตจาก 3.6 แสนล้านบาท ในปี 2020 เป็น 7.5 แสนล้านบาท ในปี 2023 และขยายตัวต่อเนื่องมาอยู่ที่ 9.7 แสนล้านบาทในปี 2024 โดยในปี 2024 มีการลงทุนจากต่างชาติสูงถึง 73% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดจากค่าเฉลี่ยในปี 2020-2022 อยู่ที่ราว 50% โดยส่วนใหญ่เป็นการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนจีน, ฮ่องกง และสิงคโปร์ ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมหลัก ได้แก่ 1) กลุ่มดิจิทัลอย่าง Data center, Cloud service 2) กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และ 3) กลุ่มเครื่องจักรและยานยนต์ อย่างการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งนี้การขยายพื้นที่ให้เช่าของผู้ให้บริการดังกล่าวมีทั้งรูปแบบ Build-to-Suit และแบบ Ready-Built โดยอัตราการปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าในปี 2024 อยู่ในระดับ 80.7% ของพื้นที่คลังสินค้าทั้งหมด
 
รูปที่ 2 : มูลค่าตลาด E-Commerce ของไทย
หน่วย : ล้านล้านบาท
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Euromonitor
 
รูปที่ 3 : มูลค่าการอนุมัติส่งเสริมการลงทุน
หน่วย : แสนล้านบาท
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ BOI

Industry outlook and trend
 
ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าที่มีสัญญาเช่าในปี 2025 มีแนวโน้มขยายตัว 10.2%YOY อยู่ที่ราว 5.03 ล้านตารางเมตร และคาดว่าจะชะลอตัวมาอยู่ที่ 4.7%YOY ในปี 2026 อยู่ที่ราว 5.26 ล้านตารางเมตร  โดยปัจจัยขับเคลื่อนหลักยังมาจาก 1) การเริ่มเดินสายการผลิตของโรงงานใหม่ที่กระจายฐานการผลิตมาไทยในช่วงปี 2022-2024 ซึ่งจะทำให้เกิดความต้องการพื้นที่คลังสินค้าในการจัดเก็บวัตถุดิบ ชิ้นส่วนประกอบ และสินค้าสำเร็จรูป 2) การนำเข้าและส่งออกของไทยในปี 2025 ที่คาดว่าเติบโต 5.5%YOY และ 5.3%YOY ตามลำดับ จากการเร่งนำเข้าและส่งออกในช่วงครึ่งปีแรกก่อนที่มาตรการภาษีของสหรัฐฯ มีผลบังคับใช้ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การนำเข้าและส่งออกของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มหดตัวที่ -1.2%YOY และ -1.9%YOY ตามลำดับ ในปี 2026 จากผลของมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกชัดเจนมากขึ้น อย่างไรก็ดี การไหลทะลักเข้ามาของสินค้าจีน (China influx) ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการที่ผู้ผลิตในจีนเร่งระบายสินค้าส่วนเกินออกสู่ตลาดโลก ยังคงเป็นปัจจัยหนุนต่อความต้องการพื้นที่คลังสินค้าให้ขยายตัวได้ และ 3) ตลาด E-commerce ที่ยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องราว 7.6%YOY ในปี 2025 และ 7.1%YOY ในปี 2026 ตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุ้นชินกับความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และการปรับกลยุทธ์ของแฟลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ในด้านการบริการส่งสินค้าที่รวดเร็วขึ้นเพื่อแข่งขันกับช่องทางออฟไลน์ ซึ่งจะส่งผลบวกต่อความต้องการพื้นที่คลังสินค้าโดยเฉพาะคลังสินค้าที่มีบริการรองรับกระบวนการทำงานของธุรกิจ E-commerce แบบครบวงจร อย่างระบบการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การบรรจุภัณฑ์ และการกระจายสินค้า (Fulfillment & Last-mile Delivery) อย่างไรก็ดี แม้เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะเปราะบางและทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น แต่คาดว่านโยบายคนละครึ่งพลัสของภาครัฐที่มีกำหนดใช้ในช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในช่วงเดือนพฤศจิกายน–ธันวาคม 2025 ได้ และจะส่งผลบวกต่อความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าในช่วงเวลาดังกล่าวด้วย
 
สำหรับปริมาณพื้นที่คลังสินค้าให้เช่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 9.9%YOY อยู่ที่ 6.22 ล้านตารางเมตร ในปี 2025 ตามแผนการลงทุนพัฒนาพื้นที่คลังสินค้าใหม่ของผู้ให้บริการคลังสินค้าเดิมและการเข้าสู่ตลาดของผู้ให้บริการรายใหม่ เพื่อรองรับแนวโน้มความต้องการพื้นที่คลังสินค้าที่ยังมีโอกาสเติบโตได้ต่อเนื่องในระยะข้างหน้า ขณะที่ในปี 2026 ปริมาณพื้นที่คลังสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวชะลอลงที่ 5.3%YOY มาอยู่ที่ 6.55 ล้านตารางเมตร เนื่องจากผู้ให้บริการส่วนใหญ่เน้นพัฒนาคลังสินค้าแบบ Built-to-Suit มากขึ้น ซึ่งเป็นรูปแบบที่ผู้เช่าต้องทำสัญญาเช่าระยะยาวล่วงหน้าก่อนเริ่มดำเนินการออกแบบและก่อสร้างตามข้อกำหนดเฉพาะ จึงทำให้อัตราการปล่อยเช่าพื้นที่คลังสินค้าในปี 2025 และ 2026 อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปีก่อนหน้าที่ 80.9% และ 80.4% ตามลำดับ
 
รูปที่ 4 : ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าให้เช่า
หน่วย : ล้านตารางเมตร
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CBRE
 
รูปที่ 5 : ปริมาณพื้นที่คลังสินค้าที่มีสัญญาเช่า 
หน่วย : ล้านตารางเมตร, %
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ CBRE
 
Competitive landscape
 
ภายใต้ตลาดที่มีการแข่งขันสูง นอกจากทำเลที่ตั้งของคลังสินค้าที่จะสร้างความได้เปรียบแล้ว การสร้างความแตกต่างด้วยบริการที่สร้างมูลค่าเพิ่มจะช่วยยกระดับความสามารถในการแข่งขันได้
 
คลังสินค้าได้ถูกยกระดับความสำคัญต่อการบริหารจัดการ Supply chain ในหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น ทำให้ผู้ให้บริการคลังสินค้าที่มีทำเลที่ตั้งในแหล่งอุตสาหกรรมและศูนย์กลางการขนส่ง อย่างพื้นที่ EEC ยังคงมีความได้เปรียบเชิงการแข่งขันและมีศักยภาพในการดึงดูดความต้องการของตลาด อีกทั้ง คลังสินค้าแบบ Build-to-Suit ยังมีแนวโน้มเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงที่ผลักดันให้เกิดความต้องการคลังสินค้ามาตรฐานสูงที่สามารถปรับพื้นที่ให้ตอบโจทย์กระบวนการทำงานที่ซับซ้อนตามข้อกำหนดเฉพาะของผู้เช่าได้ รวมถึงสามารถรองรับการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ในการจัดการกระบวนการต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้ผู้ให้บริการคลังสินค้าที่มีความพร้อมและมีความชำนาญในการออกแบบคลังสินค้าแบบ Build-to-Suit มีความได้เปรียบในการดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ อีกทั้ง ยังช่วยสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงและลดความเสี่ยงจากภาวะตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากการทำสัญญาระยะยาวได้อีกด้วย
 
อย่างไรก็ดี ธุรกิจคลังสินค้ายังต้องเผชิญความท้าทายสำคัญ อาทิ 1) นโยบายภาษีของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดมากขึ้น ซึ่งส่งผลต่อการผลิตสินค้าที่มีสัดส่วนการส่งออกไปยังสหรัฐฯ สูง เช่น กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ รวมถึงสินค้าที่อาจถูกพิจารณาเป็นสินค้าสวมสิทธิ์ (Transshipment) ที่ส่งผ่านมาไทยเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ 2) ความผันผวนทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก ซึ่งอาจทำให้ปริมาณการผลิตและการส่งออกลดลง และส่งผลให้ความต้องการใช้พื้นที่คลังสินค้าทั้งการจัดเก็บวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูปปรับตัวลดลงตามไปด้วย และ 3) ต้นทุนการพัฒนาคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้น ทั้งจากราคาที่ดินและค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น รวมถึงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ทั้งผู้พัฒนาและผู้เช่าคลังสินค้าต้องยกระดับการก่อสร้างและระบบบริหารจัดการให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล
 
นอกจากนี้ การขยายพื้นที่คลังสินค้าอย่างต่อเนื่องของผู้ให้บริการรายเดิมและการเข้าสู่ตลาดของผู้เล่นรายใหม่ เป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำคัญที่ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่สูงในธุรกิจคลังสินค้า ดังนั้น การสร้างความแตกต่างผ่านการนำเสนอบริการที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม จะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและช่วยรักษาการเติบโตให้กับผู้ให้บริการคลังสินค้าในตลาดที่มีการแข่งขันสูงได้ อาทิ 1) การให้บริการเสริมที่ยืดหยุ่น ซึ่งผู้เช่าสามารถเลือกใช้บริการที่มีอยู่หลากหลายได้ตามต้องการเพื่อช่วยลดขั้นตอนการทำงานและตอบโจทย์ของธุรกิจได้มากขึ้น เช่น การบรรจุแพ็กเกจใหม่ การตรวจสอบคุณภาพสินค้า การตรวจสอบสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์ การอำนวยความสะดวกด้านเอกสารศุลกากร และ Reverse logistics 2) การลงทุนในเทคโนโลยีและการให้บริการระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะการนำระบบจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติมาใช้ในการบริหารจัดการสต็อกและวางแผนพื้นที่จัดเก็บสินค้า ซึ่งจะช่วยลดต้นทุน รวมถึงเพิ่มความแม่นยำและความรวดเร็วในการดำเนินงานให้แก่ผู้เช่าได้ และ 3) การเจาะตลาดเฉพาะกลุ่ม ที่ต้องการความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น คลังสินค้าควบคุมอุณหภูมิ และคลังสินค้าสำหรับสินค้าอันตราย รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าขนาดเล็กในเมือง (Micro-Fulfillment) สำหรับการจัดส่งด่วนที่มาพร้อมกับการบริการขนส่งสินค้าผ่านความร่วมมือกับผู้ให้บริการขนส่งในพื้นที่ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อยกระดับบริการให้ครบวงจรโดยไม่จำเป็นต้องลงทุนเอง 
 
ขณะเดียวกันประเด็นด้านความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผู้เช่าคลังสินค้าในปัจจุบันให้ความสนใจมากขึ้น ดังนั้น การนำแนวทางพัฒนาคลังสินค้าสีเขียว (Green warehouse) ที่เน้นใช้พลังงานสะอาดและดำเนินงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาปรับใช้ ตั้งแต่การออกแบบอาคารที่ยั่งยืนด้วยการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและเน้นการประหยัดพลังงาน การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงการบริหารจัดการสินค้าตามแนวทางความยั่งยืน เช่น การพัฒนาระบบการจัดการขยะและการปรับปรุงกระบวนการทำงานเพื่อลดการใช้ทรัพยากรที่ไม่จำเป็น จะเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน และสามารถดึงดูดผู้เช่าคลังสินค้าที่มีนโยบายด้านความยั่งยืนที่ชัดเจน รวมถึงยังช่วยเสริมบทบาทของคลังสินค้าในฐานะส่วนหนึ่งของ Supply chain แบบยั่งยืน ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสเติบโตได้ในระยะยาว
 
ภาคผนวก : ผลประกอบการของผู้ให้บริการคลังสินค้าให้เช่าที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  
 
 
หมายเหตุ :
1. ผู้ประกอบการที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ mai
2. ปรับงบการเงินของ FPT ให้เป็นปีปฏิทิน
3. รายได้รวมทั้งหมดของผู้ประกอบการ
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ SET 

 
กีรติญา ครองแก้ว นักวิเคราะห์ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 20 พ.ย. 2568 เวลา : 15:34:37
21-11-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 27 พ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนลาดหวาย

2. ตลาดหุ้นปิด (20 พ.ย.2568) บวก 9.64 จุด ดัชนี 1,281.81 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (20 พ.ย.68) บวก 19.25 จุด ดัชนี 1,291.42 จุด

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (19 พ.ย.68) บวก 16.30 ดอลลาร์ ก่อนเฟดเผยรายงานการประชุม

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (19 พ.ย.68) บวก 47.03 จุด จับตาผลประกอบการ Nvidia

6. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงมีความผันผวนสูงรอการ Breakout ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,050-4,010 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,100-4,130 เหรียญ

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (20 พ.ย.68) ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อากาศเย็นถึงหนาว อุณหภูมิลดลง 1-2 องศา "ยอดดอย" หนาวจัด 3 องศา "ยอดภู" 6 องศา ภาคใต้ ฝนฟ้าคะนอง 80%

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (20 พ.ย. 68) ร่วงลง 500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 63,400 บาท

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (20 พ.ย.68) บวก 18.34 จุด ดัชนี1,290.51 จุด

10. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.35-32.60บาท/ดอลลาร์

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (20 พ.ย.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อยที่ระดับ 32.46 บาทต่อดอลลาร์

12. ประกาศ กปน.: 24 พ.ย. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนประชาชื่น

13. ตลาดหุ้นปิด (19 พ.ย.68) บวก 2.13 จุด ดัชนี 1,272.17 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (19 พ.ย.68) ลบ 4.20 จุด ดัชนี 1,265.84 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่ิอคืน (18 พ.ย.68) ลบ 8 เหรียญ จับตาตัวเลขจ้างงานประเมินดอกเบี้ยเฟด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 21, 2025, 6:30 am