
· ในปี 2568-2569 กำไรธุรกิจโพลิเมอร์ไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น แต่ยังต่ำกว่าช่วงปี 2565 เพราะส่วนต่างระหว่างราคาโพลิเมอร์และวัตถุดิบตั้งต้น (Spread) แม้จะเพิ่มขึ้น 1.1% และ 1.7% ตามทิศทางหดตัวของราคาแนฟทา แต่ spread ก็ยังต่ำกว่าปี 2565 อยู่ราว 22%
· ในขณะที่ อุปสงค์โพลิเมอร์ไทยคาดว่าจะโต 2.6% และ 1.7% ในปี 2568 และ 2569 ตามลำดับ จากการขยายตัวของบรรจุภัณฑ์พลาสติกในธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และยอดขายอะไหล่ซ่อมบำรุงรถยนต์ อย่างไรก็ดี การหดตัวของตลาดเครื่องนุ่งห่มก็ยังเป็นแรงกดดันต่ออุปสงค์โพลิเมอร์
· ส่งออกโพลิเมอร์มีแนวโน้มขยายตัว 4.6% ในปี 2568 จากการเติบโตของส่งออก PP ไปอินโดนีเซีย สำหรับปี 2569 ส่งออกโพลิเมอร์คาดว่าจะโตชะลอที่ 0.8% เพราะส่งออก PET มีทิศทางลดลงตามการส่งออกไปยังสหรัฐฯ และเวียดนาม
กำไรธุรกิจโพลิเมอร์มีทิศทางปรับดีขึ้นในปี 2568-2569 แต่ยังต่ำกว่าช่วงปี 2565
เพราะอุปสงค์โพลิเมอร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ในขณะที่ส่วนต่างระหว่างราคาโพลิเมอร์และวัตถุดิบตั้งต้น (Spread) แม้จะปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ยังต่ำกว่าปี 2565 อยู่ราว 22% (รูปที่ 2)
Spread ซึ่งสะท้อนอัตรากำไรเบื้องต้นในธุรกิจโพลิเมอร์ คาดว่าจะโต 1.1% และ 1.7% ในปี 2568-2569
สำหรับปี 2568 spread ของ PE และ PP คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.3% และ 0.8% รับแรงหนุนจากราคาวัตถุดิบ โดยเฉพาะแนฟทาที่มีแนวโน้มหดตัวตามราคาน้ำมันดิบดูไบซึ่งอยู่ในทิศทางขาลง1 แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากการกลับมาเดินเครื่องของโรงงานในมาเลเซียและเวียดนามในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ส่งผลให้อุปทาน PE และ PP เพิ่มขึ้น ในขณะที่ PET spread คาดว่าจะลดลง 9.5% เพราะภาวะอุปทานส่วนเกิน โดยเฉพาะจากจีน ซึ่งกดดันราคา PET (รูปที่ 3)
ในปี 2569 spread ของ PE PP และ PET มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 1.7% 1.1% และ 4.2% ตามลำดับ เพราะราคาโพลิเมอร์มีแนวโน้มฟื้นตัวจากอุปสงค์ที่ดีขึ้น ในขณะที่ ราคาวัตถุดิบยังอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่องมาจากปี 2568 (รูปที่ 3)
อุปสงค์โพลิเมอร์ไทยคาดว่าจะโต 2.6% และ 1.7% ในปี 2568-2569 (รูปที่ 4)
1. ความต้องการ PE ในประเทศคาดว่าจะโต 3.0% และ 2.2% ในปี 2568-2569 (รูปที่ 5)
จากปริมาณการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกที่จะเพิ่มขึ้นตามธุรกิจร้านอาหารและร้านเครื่องดื่มที่ยังคงเติบโต รวมถึงธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เช่น ท่อพลาสติก ที่จะเพิ่มขึ้นตามตลาดก่อสร้าง โดยเฉพาะงานก่อสร้างภาครัฐ อย่างไรก็ดี ความต้องการ PE ก็ได้รับแรงกดดันจากการบริโภคภาคครัวเรือนที่มีแนวโน้มชะลอตัวและเศรษฐกิจโดยรวมที่เติบโตในอัตราจำกัด
2. ความต้องการ PP คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.2% และ 1.8% ในปี 2568-2569 (รูปที่ 6)
เนื่องจากการเติบโตของการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกจากที่กล่าวข้างต้น ประกอบกับยอดขายชิ้นส่วนอะไหล่ที่ใช้ในการซ่อมบำรุงรถยนต์ของไทยที่คาดว่าจะยังคงขยายตัว ตามปริมาณรถยนต์จดทะเบียนสะสมที่เพิ่มขึ้น โดยในปัจจุบันมีอยู่ราว 20 ล้านคัน
3. ความต้องการ PET คาดว่าจะขยายตัว 0.8% และ 0.6% ในปี 2568-2569 (รูปที่ 7)
ตามการเติบโตของความต้องการ PET ในการผลิตขวดน้ำดื่มและบรรจุภัณฑ์อาหาร แต่ก็ได้รับแรงกดดันจากความต้องการใช้เส้นใยสังเคราะห์ซึ่งผลิตจาก PET ที่คาดว่าจะลดลงตามการหดตัวของตลาดเครื่องนุ่งห่ม เพราะการแข่งขันกับเสื้อผ้าสำเร็จรูปราคาย่อมเยาที่นำเข้าจากจีน
การส่งออกโพลิเมอร์ไทยคาดว่าจะโต 4.6% และ 0.8% ในปี 2568-2569 (รูปที่ 8)
การส่งออกโพลิเมอร์ไทยไม่ถูกกระทบจากการเก็บภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal tariffs) ของสหรัฐฯ เนื่องจากได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับ PET ในช่วงแรกของปี 2568 ทว่าผลกระทบจะเพิ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 ปี 25682 ทั้งนี้ ไทยส่งออก PET ไปยังสหรัฐฯ ราว 1 ใน 4 ของปริมาณส่งออกไปยังตลาดโลก ในขณะที่ ไทยแทบไม่ส่งออก PE และ PP ไปยังสหรัฐฯ ในปัจจุบัน
ทั้งนี้ แนวโน้มการส่งออกของแต่ละผลิตภัณฑ์โพลิเมอร์สามารถวิเคราะห์ได้ดังนี้ (รูปที่ 9)
1. ปริมาณส่งออก PE คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.6% และ 1.4% ในปี 2568-2569
ในปี 2568 ส่งออก PE มีแนวโน้มขยายตัว โดยได้รับแรงหนุนจากฐานที่ต่ำในปีก่อน และการเร่งตุนสินค้าของจีนและเวียดนามในช่วงต้นปีนี้ อย่างไรก็ตาม การส่งออก PE ยังเผชิญแรงกดดันจากการที่จีน ซึ่งเป็นตลาดหลักของไทย มีแผนเพิ่มกำลังการผลิต PE ราว 5 ล้านตัน และ 6 ล้านตันในปีนี้และปีหน้า ตามลำดับ
สำหรับปี 2569 ส่งออก PE คาดว่าจะชะลอตัว ซึ่งเป็นผลจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นจากจีน ประกอบกับทิศทางการลดลงของส่งออก PE ไปเวียดนาม ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดส่งออก PE หลักไทย เพราะสหรัฐฯ หันมาขยายตลาดส่งออกไปเวียดนาม
2. ปริมาณส่งออก PP คาดว่าจะขยายตัว 13.8% และ 3.1% ในปี 2568-2569
ส่งออก PP มีแนวโน้มขยายตัวแรงในปี 2568 เพราะแม้จีนมีแผนเพิ่มกำลังการผลิต PP ราว 7 ล้านตันในปีนี้ แต่การส่งออกไปยังอินโดนีเซียยังคงเติบโต หลังรัฐบาลอินโดนีเซียยกเลิกแนวคิดจำกัดการนำเข้า PP เกรดมาตรฐาน (primary form) ในปี 2567 และขยายการยกเลิกไปยัง PP เกรดทนแรงกระแทก (copolymer) เพิ่มเติมในเดือนมิ.ย. 2568
ในปี 2569 ส่งออก PP คาดว่าจะชะลอลง เนื่องจากผู้ประกอบการอาจจำหน่าย PP ในตลาดไทยมากขึ้นแทนการส่งออก เพราะกรมการค้าต่างประเทศได้เริ่มการสอบสวนเพื่อใช้มาตรการ safeguard ต่อการนำเข้า PP เมื่อวันที่ 3 ก.ย. 2568 ซึ่งหากมีการบังคับใช้จะทำให้การนำเข้า PP มีแนวโน้มลดลง
3. ปริมาณส่งออก PET คาดว่าจะหดตัว 6.1% และ 6.8% ในปี 2568-2569
ในปี 2568 ส่งออก PET คาดว่าจะลดลง เพราะส่งออกไปยังสหรัฐฯ มีทิศทางหดตัว จากการเริ่มบังคับใช้ภาษีต่างตอบแทนในอัตรา 19% และผลของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัว
สำหรับปี 2569 ส่งออก PET มีแนวโน้มหดตัวมากขึ้น เพราะผลกระทบต่อเนื่องของมาตรการภาษีทรัมป์ ประกอบกับการส่งออกไปเวียดนามที่คาดว่าจะลดลง ตามทิศทางนำเข้า PET จากจีนและอินโดนีเซียที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากมีราคาต่ำกว่าไทย
ความเสี่ยงของอุตสาหกรรมโพลิเมอร์ไทยในระยะกลางถึงยาว
· การมาของกฎระเบียบด้านการจัดการพลาสติกอาจผลักดันการใช้วัตถุดิบรักษ์โลก แผนจัดการขยะพลาสติกระยะที่ 2 (พ.ศ. 2566 - 2570) ของไทย กำหนดให้ผู้ผลิตสินค้าที่ใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบ ต้องรับผิดชอบในการรวบรวมและจัดการขยะพลาสติก ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตหันไปใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั้งพลาสติกชีวภาพและพลาสติกรีไซเคิลมากขึ้น
· การแข่งขันที่เข้มข้นขึ้นในตลาดโพลิเมอร์โลก จากการเพิ่มกำลังการผลิตของจีนอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังการผลิตโดยรวมขยายตัวเฉลี่ย 6% ในช่วงปี 2564-2568 ในขณะที่อุปสงค์ในตลาดโลกเติบโตเฉลี่ยเพียง 3% ทำให้เกิดภาวะอุปทานส่วนเกิน และสร้างแรงกดดันต่อราคาโพลิเมอร์โลก
ข่าวเด่น