เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "คนไทยยุคใหม่ "เลือกเช่า" หรือ "เลือกซื้อ" (EP.1) : ที่อยู่อาศัย & พาหนะส่วนตัว


 

ผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มหันมา "เช่าใช้" กันมากขึ้น แนวโน้มนี้ได้ขยายจากการเช่าที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์ ไปสู่สินค้ากึ่งคงทนหลากหลายประเภท ขณะที่บริการ Ride-sharing ก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

SCB EIC ได้จัดทำแบบสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค (SCB EIC Consumer survey) ภายใต้หัวข้อ “สำรวจใจคนไทยยุคใหม่ เลือกเช่าหรือเลือกซื้อ” พบว่า พฤติกรรมการเช่าใช้ของผู้บริโภคชาวไทยมีลักษณะเด่น 3 ประการ ได้แก่ 1) กลุ่มสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ได้รับความนิยมสูงในการเช่า โดยได้รับแรงหนุนหลักจากความต้องการใช้งานเพียงชั่วคราว เช่น ชุดราตรี อุปกรณ์เครื่องเสียง หรือกล้องถ่ายรูป 2) แม้ว่าการเช่าใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังมีค่านิยมต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยและยานยนต์ เพราะมองว่าสินทรัพย์มูลค่าสูงเหล่านี้สะท้อนความมั่นคงและความสำเร็จในชีวิต และ 3) แนวคิด “การเช่าเพื่อทดแทนการครอบครอง” มีแนวโน้มได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคอายุต่ำกว่า 45 ปี ที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและประสิทธิภาพการใช้งาน มากกว่าความเป็นเจ้าของหรือการครอบครองสินทรัพย์เกินความจำเป็น

คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ขณะที่ตัวเลือกการเช่าตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว และให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระและยืดหยุ่น

ผลสำรวจของ SCB EIC พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เพราะมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคง ฐานะทางสังคม และเป็นความภาคภูมิใจของชีวิต ขณะที่มาตรการสินเชื่อและโครงการบ้านหลังแรกมีส่วนช่วยให้ผู้มีรายได้ปานกลางสามารถก้าวสู่การเป็นเจ้าของบ้านกันได้ง่ายขึ้น อย่างไรก็ตาม วิถีชีวิตยุคใหม่ได้ผลักดันให้การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มคนอายุต่ำกว่า 45 ปี ที่ต้องการลดภาระหนี้สินระยะยาวและควบคุมค่าใช้จ่ายให้คาดการณ์ได้ อีกทั้ง ยังได้รับแรงดึงดูดจากข้อได้เปรียบของตลาดเช่า เช่น การเข้าอยู่อาศัยได้ทันที ไม่ต้องดูแลซ่อมบำรุงเอง และรูปแบบสัญญาที่ยืดหยุ่นสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความจำเป็น 

พฤติกรรมการครอบครองพาหนะกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จากเดิมที่รถส่วนตัวถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสัญจร มาสู่ยุคที่ผู้บริโภคเริ่มเปิดรับบริการ Ride-sharing และการเช่ารถระยะยาวกันมากขึ้น 

แม้ว่าการมีพาหนะส่วนตัวยังคงเป็นค่านิยมสำคัญของคนไทยจำนวนมาก แต่รูปแบบการตัดสินใจซื้อและการใช้งานกลับมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไป เจ้าของยานยนต์ในปัจจุบันมักยืดอายุการใช้งานพาหนะส่วนตัวให้นานขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคที่กำลังมองหารถคันแรกก็เริ่มให้ความสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้า (xEV) ไม่เพียงเท่านี้ ผลการวิเคราะห์ SCB EIC Consumer survey ยังชี้ว่า การเป็นเจ้าของยานยนต์ก็เริ่มไม่ได้เป็นเงื่อนไขจำเป็นดังเช่นในอดีต โดยเฉพาะในเขตเมืองที่ระบบขนส่งสาธารณะได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงบริการ Ride-sharing ก็ได้กลายมาเป็นทางเลือกหลักสำหรับหลายคน เพราะในบางกรณีก็สามารถตอบโจทย์ความสะดวกสบายได้ดีกว่าการใช้งานพาหนะส่วนตัว ขณะที่บริการเช่ารถระยะยาวหรือ Car subscription ก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่นิยมไลฟ์สไตล์ยืดหยุ่นและต้องการการทดลองเทคโนโลยีขับขี่ใหม่ ๆ 

ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและต่อยอดกลยุทธ์การเติบโต เพื่อรองรับกระแส “การเช่าใช้แทนการซื้อ” ที่เข้ามามีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น

กระแสการเช่าหรือการใช้บริการทดแทนการซื้อกำลังก้าวขึ้นมามีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ทุกภาคส่วนจำเป็นต้องเร่งปรับตัวอย่างรอบด้านเพื่อรองรับโครงสร้างความต้องการที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไป ในภาคอสังหาฯ ผู้พัฒนาโครงการควรหันมาพัฒนารูปแบบ Hybrid Housing ที่ผสมผสานพื้นที่ขายกับพื้นที่เช่า เช่น Serviced apartment หรือ Co-living ที่ผู้เช่าสามารถเหมาจ่ายค่าสาธารณูปโภคและค่าส่วนกลางแบบรายเดือน นอกจากนี้ การออกแบบโครงการสำหรับกลุ่มเฉพาะทาง เช่น Senior living apartment จะช่วยสร้างฐานรายได้ที่มั่นคงและตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกัน ภาคสถาบันการเงินก็ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจแบบเช่า เช่น Buy-to-Let Financing สำหรับผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อนำไปปล่อยเช่า รวมถึงพัฒนาระบบประเมินเครดิตผู้เช่าเพื่อช่วยลดความเสี่ยงแก่ผู้ให้เช่า สำหรับในภาคยานยนต์ ค่ายรถควรศึกษาและต่อยอดบริการ  Car subscription ควบคู่กับออกแบบรถรุ่นที่เหมาะกับตลาดบริการ นอกจากนี้ ภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญในการสร้างสมดุลระหว่างตลาด “ซื้อ” และ “เช่า” ผ่านการออกแบบกฎหมายคุ้มครองคู่สัญญาให้เป็นธรรม เช่น กฎหมายผู้เช่า-ผู้ให้เช่า มาตรฐานความปลอดภัยของบริการ Mobility-as-a-Service รวมถึงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบขนส่งมวลชนคุณภาพสูง สถานีชาร์จไฟฟ้า และแพลตฟอร์มข้อมูลสาธารณะเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ แนวโน้มทั้งหมดนี้สะท้อนว่า การปรับตัวเชิงนโยบายและกลยุทธ์ทางธุรกิจ ไม่เพียงช่วยรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสในการออกแบบระบบเศรษฐกิจใหม่ที่ยืดหยุ่น เป็นธรรม และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มต่อเนื่องให้สังคมและธุรกิจในระยะยาว

 
Part 1 : ความตื่นตัวและความแตกต่างระหว่าง ‘การเช่าใช้’ vs ‘การซื้อขาด’

วิถีชีวิตของผู้คนทั่วโลกเริ่มเชื่อมโยงกับพฤติกรรม “การเช่าใช้” กันมากขึ้น และได้ขยายขอบเขตจากเดิมที่มักจำกัดเพียงการเช่าที่อยู่อาศัยหรือรถยนต์ ไปสู่การเช่าสินค้ากึ่งคงทนหลากหลายประเภท เช่น อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สินค้าแฟชั่น ตลอดจนการใช้ On-demand platform เพื่อเข้าถึงสินค้าและบริการเพียงชั่วคราวได้อย่างสะดวก รวดเร็ว และยืดหยุ่น OECD และ World Economic Forum (WEF) ต่างให้นิยามการเช่าใช้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing economy) ที่มีคุณลักษณะเด่น คือ การเปิดโอกาสให้ผู้อื่นเข้าใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินโดยไม่เปลี่ยนแปลงความเป็นเจ้าของ และต้องมีการตกลงค่าตอบแทนระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าอย่างชัดเจน นิยามดังกล่าวแตกต่างจาก ‘การซื้อขาย’ โดยเฉพาะด้านการเปลี่ยนสิทธิความเป็นเจ้าของ ไม่ว่าทรัพย์สินนั้น ๆ จะเป็นของใหม่หรือของมือสอง อีกทั้ง ยังแตกต่างจาก ‘การยืมใช้’ ที่มักจะไม่มีค่าตอบแทนในเชิงพาณิชย์ 
 
กระแสความนิยม “การเช่าใช้” ส่งผลให้เศรษฐกิจแบ่งปัน (Sharing economy) เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยรายงานของ ResearchAndMarkets (2024) ประเมินว่า ขนาดของ Sharing economy ทั่วโลก มีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ยปีละราว 25% จากมูลค่าประมาณ 2.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 สู่ระดับกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2030 แม้ว่ามูลค่าดังกล่าวจะคิดเป็นสัดส่วนเพียงไม่ถึง 1% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมโลก (GDP) ระหว่างปี 2023 – 2030  แต่แนวโน้มการตื่นตัวของผู้บริโภคได้ผลักดันให้พฤติกรรมและรูปแบบการเช่าใช้ขยายตัวและครอบคลุมขึ้นในหลากหลายมิติ ทั้งจำนวนของแพลตฟอร์มกลางที่เชื่อมโยงผู้ให้เช่าและผู้เช่า ความหลากหลายของสินค้าและบริการ ตลอดจนความยืดหยุ่นของระยะเวลาและรูปแบบการเช่าใช้ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งในปัจจุบันประเภทของการเช่าสามารถจำแนกออกเป็น 3 กลุ่มสำคัญ  ดังนี้

1. Collaborative consumption การเช่าใช้ระหว่างบุคคล (Peer-to-peer) ผู้ให้เช่าจะนำทรัพย์สินของตน มาให้ผู้อื่นใช้งานร่วมกันชั่วคราว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยการเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้เช่าและผู้เช่าในปัจจุบันมักเกิดขึ้นบนช่องทาง Social media รวมถึงแพลตฟอร์มกลางอื่น ๆ เช่น Airbnb (การเช่าที่พักชั่วคราว) รวมถึง GrabShare และ Carpool Thailand (การเดินทางร่วมกัน)

2. Commercial rent การให้เช่าในรูปแบบ B2C หรือ B2B โดยภาคธุรกิจเป็นเจ้าของทรัพย์สินอยู่จำนวนหนึ่ง และปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้ เช่น หอพัก การเช่ารถทั้งแบบระยะสั้น-ระยะยาว การเช่าเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยบริการ Subscription จากแบรนด์ผู้ผลิตโดยตรง หรือการเช่าเครื่องนุ่งห่มและสินค้าแฟชั่นจากร้านค้าต่าง ๆ 

3. On-demand service การให้ผู้ใช้เข้าถึงสินค้าและบริการได้ทันทีตามความต้องการ มุ่งเน้นความสะดวก รวดเร็ว และมีส่วนลดความจำเป็นในการครอบครองทรัพย์สินลง เช่น การใช้บริการรับ-ส่งผู้โดยสารและพัสดุผ่าน Grab Uber หรือ Lineman รวมถึงการเข้าถึงสื่อบันเทิงบน Streaming platform ในรูปแบบ Subscription เป็นต้น

สำหรับประเทศไทย ธุรกิจเช่าใช้ทรัพย์สินและบริการที่เกี่ยวเนื่องต่าง ๆ กำลังขยายตัวและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจาก 2 แนวโน้มสำคัญ คือ 1) ธุรกิจในหมวดการให้เช่าที่จดทะเบียนกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) เพิ่มจำนวนขึ้นเฉลี่ยปีละ 1% จากประมาณ 29,000 แห่งในปี 2019 เป็นกว่า 32,000 แห่งในปี 2024 โดยกลุ่มที่เติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่ ธุรกิจให้เช่าอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย และธุรกิจให้เช่ายานยนต์ และ 2) การเติบโตของรายได้ธุรกิจและแพลตฟอร์มให้บริการเช่าใช้ทรัพย์สิน ทั้งแบบระยะสั้น-ยาว และแบบ On-demand เช่น โคเวย์ (ประเทศไทย) มีรายได้ระหว่างปี 2019–2023 เติบโตเฉลี่ยปีละกว่า 40% ซึ่งรายรับหลักมาจากกลุ่มบริการภายใต้โมเดลเช่าหรือ Subscription  เช่นเดียวกับ Grab Thailand ที่รายได้ขยายตัวเฉลี่ยราว 30% ต่อปี (ระหว่างปี 2019–2023) และเริ่มทำกำไรได้นับตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นมา (รูปที่ 1) อย่างไรก็ดี ยังมีกิจกรรมการเช่าใช้มูลค่าอีกมหาศาลที่ยังไม่สามารถประเมินได้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากส่วนใหญ่มักอยู่ในรูปแบบของ Collaborative consumption ซึ่งดำเนินผ่านแพลตฟอร์มที่ไม่ได้จดทะเบียนในประเทศไทย หรือผ่านช่องทาง Social media อีกทั้ง ธุรกิจให้เช่าสินค้าบางส่วนก็มักจดทะเบียนภายใต้หมวดการซื้อ–ขายแบบดั้งเดิม ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของกิจกรรมการเช่าใช้ในไทยอาจมีขนาดใหญ่และเติบโตได้สูงกว่าที่ประเมินไว้จาก 2 แนวโน้มสำคัญข้างต้น

การเติบโตของกิจกรรมเช่าใช้สะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่กำลังเปลี่ยนแปลงไป โดยหันมาให้ความสนใจและเปิดรับแนวคิด “การเช่าใช้ เพื่อทดแทนการซื้อหรือถือครองทรัพย์สิน” กันมากขึ้น ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวไม่เพียงท้าทายต่อรูปแบบการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิม แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคการเงิน ภาครัฐ และหน่วยงานกำหนดนโยบายอื่น ๆ ให้ต้องเร่งเตรียมความพร้อมสำหรับพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุนี้ SCB EIC จึงได้จัดทำแบบสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภค (SCB EIC Consumer survey) ภายใต้หัวข้อ “สำรวจใจคนไทยยุคใหม่ เลือกเช่าหรือเลือกซื้อ” สำรวจระหว่างวันที่ 20 พฤษภาคม – 8 มิถุนายน 2025 โดยมีกลุ่มตัวอย่างรวมทั้งสิ้น 2,321 ราย (รูปที่ 2) เพื่อทำความเข้าใจระดับความตื่นตัวและปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเช่าใช้และครอบครองทรัพย์สินใน 4 หมวด คือ ที่อยู่อาศัย พาหนะส่วนตัว เครื่องใช้ในครัวเรือน และสินค้าแฟชั่น-ไลฟ์สไตล์ โดยผลการวิเคราะห์ในภาพรวมชี้ให้เห็น 3 ประเด็นสำคัญ ดังนี้

รูปที่ 1 : ธุรกิจให้บริการเช่าใช้ในไทยเพิ่มจำนวนขึ้น และทิศทางรายได้ก็เติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง
 
 
 
รูปที่ 2 : กลุ่มตัวอย่าง SCB EIC Consumer survey ครอบคลุมทุกเพศ ทุกวัย และสาขาอาชีพ
 
 
1. ผู้บริโภคชาวไทยนิยมเช่าสินค้าที่มีความต้องการใช้งานเป็นครั้งคราว มากกว่าสินค้าหรือทรัพย์สินที่มักมีการใช้งานเป็นประจำในระยะกลาง-ยาว สะท้อนจากผลสำรวจที่พบว่าเกือบ 50% ของกลุ่มตัวอย่างเคยเช่าใช้สินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่จำเป็นต้องใช้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ หรือในโอกาสพิเศษต่างๆ  เช่น ชุดราตรี เครื่องเสียง อุปกรณ์จัดงาน และแกดจิต (Gadget) ต่าง ๆ สัดส่วนดังกล่าวสูงกว่าการเช่าใช้สินค้าประเภทอื่น ๆ อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัยหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะมีเพียง 10% ของกลุ่มตัวอย่างที่เคยใช้บริการในรูปแบบการเช่าทรัพย์สินเหล่านี้ (รูปที่ 3) ทั้งนี้แนวโน้มดังกล่าวแตกต่างจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในชาติตะวันตก ซึ่งเปิดรับการเช่าใช้ระยะยาวในระดับที่สูงกว่าประเทศไทย เช่น ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคในสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป (EU)  อาศัยอยู่ในที่พักแบบเช่า นอกจากนี้ ราว 35% ของผู้บริโภคในยุโรป  มีความสนใจบริการเช่ารถระยะยาว ในขณะที่ไทย มีเพียง 9% ของกลุ่มตัวอย่างเท่านั้น ที่ให้ความสนใจหรือกำลังศึกษาเกี่ยวกับบริการดังกล่าวข้างต้น 

รูปที่ 3 : ผู้บริโภคชาวไทยนิยมเช่าสินค้าที่ต้องการใช้งานเป็นครั้งคราว มากกว่าสินค้าที่มีความต้องการใช้อย่างสม่ำเสมอ
 
 

2. การเช่าใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าและความยืดหยุ่นในการใช้งาน แต่ค่านิยมการเป็นเจ้าของบ้านหรือรถยนต์ยังคงมีอิทธิพลสูงต่อผู้บริโภคชาวไทย ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า แรงจูงใจหลักที่ผลักดันให้ผู้บริโภคเลือกเช่าใช้สินค้าเกิดขึ้นจากการเปรียบเทียบความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น โดยเฉพาะกลุ่มสินค้ากึ่งคงทนที่มีความจำเป็นต้องใช้งานเพียงช่วงระยะเวลาหนึ่ง ขณะที่ประเด็นด้านความยั่งยืน ไม่ว่าจะเพื่อลดการสะสมทรัพย์สินที่ไม่จำเป็นหรือลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ยังคงเป็นเพียงปัจจัยรองในการตัดสินใจ อย่างไรก็ดี สำหรับทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงอย่างบ้านและรถยนต์ ผู้ตอบแบบสำรวจยังคงให้ความสำคัญกับ “การครอบครอง” มากกว่า “การเช่าใช้” เนื่องจากส่วนใหญ่มองว่า การเป็นเจ้าของช่วยสร้างความมั่นคงทางจิตใจและฐานะ อีกทั้ง สามารถต่อยอดเป็นการลงทุนหรือใช้ประกอบอาชีพได้ในอนาคต ไม่เพียงเท่านี้กว่า 60% ของกลุ่มตัวอย่างยังมองว่า การมีบ้านหรือรถเป็นของตนเอง ถือเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จในชีวิต ส่งผลให้พฤติกรรมการเช่าใช้สินทรัพย์กลุ่มนี้ ณ ปัจจุบัน ยังคงได้รับความนิยมในวงจำกัด (รูปที่ 4)

รูปที่ 4 : การเช่าใช้ตอบโจทย์ผู้บริโภคที่มองหาความคุ้มค่าและความยืดหยุ่น ขณะที่การครอบครองเหมาะกับผู้ที่ให้ความสำคัญกับความมั่นคงและเห็นโอกาสในการต่อยอดสู่การลงทุนในอนาคต
 
 
 
3. ในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า พฤติกรรมการเช่าใช้คาดว่าจะได้รับการยอมรับมากขึ้นและมีแนวโน้มขยายสู่ กลุ่มทรัพย์สินมูลค่าสูง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุต่ำกว่า 45 ปี ซึ่งมีความตื่นตัวกับแนวคิด “การเช่าใช้ทดแทนการครอบครอง” มากที่สุด ปัจจุบันการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่าง “การเช่า” และ “ซื้อขาด” ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตัดสินใจของผู้บริโภคยุคใหม่ สะท้อนจากกลุ่มตัวอย่างกว่า 90% เริ่มพิจารณาทั้งสองทางเลือกก่อนตัดสินใจเลือกรูปแบบการบริโภคที่เหมาะสม โดยกลุ่มที่มีความตื่นตัวสูงสุดคือ ผู้บริโภค Gen Y และ Gen Z ให้ความสนใจกับการเช่าใช้สินค้าหลากหลายประเภท ทั้งสินค้ากึ่งคงทน ที่พักอาศัย และยานพาหนะ อีกทั้ง ยังมองเห็นโอกาสทางการลงทุนจากการนำทรัพย์สินที่ตนครอบครองมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้เพิ่มเติม สะท้อนแนวคิดของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้ยึดติดกับการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ ในทางกลับกัน ผู้บริโภคอายุมากกว่า 60 ปี เปิดรับพฤติกรรมการเช่าใช้ในวงจำกัด เนื่องจากให้ความสำคัญกับความมั่นคงจากการครอบครอง และมองว่าการมีบ้าน รถ หรือทรัพย์สินมูลค่าสูงเป็นสัญลักษณ์ของความมั่นคงทั้งทางจิตใจและสถานะทางสังคม (รูปที่ 5)

รูปที่ 5 : ผู้บริโภค Gen Y และ Gen Z ตื่นตัวกับแนวคิด “การเช่าใช้ทดแทนการครอบครอง” มากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะไม่ได้ยึดติดว่าการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ถือเป็นเครื่องหมายแห่งความสำเร็จ
 
 
 
SCB EIC เห็นว่า พฤติกรรมการเช่าใช้กำลังก้าวเข้ามามีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกรูปแบบการบริโภคที่เหมาะสม ดังนั้น การปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป จะช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถปรับตัวได้อย่างเท่าทัน พร้อมคว้าโอกาสเติบโตร่วมไปกับเทรนด์การบริโภคสมัยใหม่ 
 
สำหรับบทความชุดแรกภายใต้งานศึกษา “คนไทยยุคใหม่ เลือกเช่า หรือ เลือกซื้อ” (EP.1) ฉบับนี้ จะมุ่งทำความเข้าใจปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกรูปแบบการบริโภคระหว่างการเช่าและการซื้อ” สำหรับทรัพย์สินมูลค่าสูงอย่าง “ที่อยู่อาศัย” และ “พาหนะส่วนตัว” พร้อมทั้งสะท้อนแนวโน้มพฤติกรรมและมุมมองของผู้บริโภคยุคใหม่ ทั้งมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และอารมณ์ความรู้สึก ในลำดับถัดไป งานศึกษาจะต่อยอดด้วยอีก 2 บทความ ได้แก่ EP.2 เจาะลึกพฤติกรรมการเช่า–ซื้อสินค้าในครัวเรือนและเครื่องใช้ไฟฟ้า และ EP.3 วิเคราะห์รูปแบบการบริโภคสินค้าแฟชั่น ไลฟ์สไตล์ เพื่อให้เห็นความเปลี่ยนแปลงของความนิยมในการครอบครองทรัพย์สินประเภทต่าง ๆ อย่างครบถ้วน ผลการศึกษาจากทั้ง 3 บทความ คาดว่าจะช่วยให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ทั้งธุรกิจ ภาคการเงิน และหน่วยงานภาครัฐ สามารถออกแบบนโยบาย กลยุทธ์ทางธุรกิจ และผลิตภัณฑ์ทางการเงิน ให้มีความยืดหยุ่น ตอบโจทย์พฤติกรรมและความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น อีกทั้ง ยังสนับสนุนการกำหนดนโยบายสาธารณะที่เอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจและระบบนิเวศการเช่าใช้ในประเทศไทยได้อย่างยั่งยืน 

Part2 : ที่อยู่อาศัย
เจาะลึกเหตุผลของการเลือก ‘ซื้อ’ หรือ ‘เช่า’ ที่อยู่อาศัย

คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ขณะที่ตัวเลือกการเช่าตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่ไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาวและให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระและยืดหยุ่น “การเป็นเจ้าของ” หรือ “เลือกเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาว” เป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสถานะทางการเงิน รูปแบบการดำเนินชีวิต รวมถึงปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เช่น ราคาซื้อ-ขาย เงื่อนไขสินเชื่อ นโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ ตลอดจนความพร้อมของโมเดลธุรกิจด้านการเช่าระยะยาว เมื่อปัจจัยเหล่านี้ผสานเข้ากับค่านิยมและทัศนคติ จึงนำไปสู่ความแตกต่างในการตัดสินใจซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในแต่ละประเทศ จากรูปที่ 6 พบว่า กลุ่มประเทศกำลังพัฒนามีสัดส่วนของครัวเรือนที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในระดับสูง แม้ว่าราคาซื้อ-ขายจะสูงกว่ารายได้เฉลี่ยของครัวเรือนหลายเท่าตัว เช่น กว่า 80% ของครัวเรือนในจีน ไทย และเวียดนาม เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของตนเอง แม้ว่าราคาที่อยู่อาศัยจะสูงกว่ารายได้เฉลี่ยครัวเรือนถึงกว่า 20 เท่า ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการและสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้นั้น นอกเหนือจากเรื่องค่านิยมแล้ว ยังเป็นผลจากมาตรการด้านสินเชื่อต่าง ๆ เช่น โครงการสนับสนุนบ้านหลังแรก การผ่อนชำระระยะยาว และเงื่อนไขการกู้ที่ยืดหยุ่น ซึ่งช่วยให้กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางสามารถเข้าถึงสินเชื่อและมีความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น สำหรับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว แม้ว่าราคาที่อยู่อาศัยจะสูงกว่ารายได้ครัวเรือนไม่มากนัก แต่ความนิยมในการครอบครองที่อยู่อาศัยกลับต่ำกว่า ส่วนหนึ่งเพราะความพร้อมของตลาดเช่าระยะยาว บริการและโมเดลธุรกิจการเช่าที่หลากหลาย รวมถึงนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐและกรอบกฎหมายที่คุ้มครองสิทธิผู้ให้เช่าและผู้เช่าอย่างเป็นธรรม  

รูปที่ 6 : ประเทศกำลังพัฒนาในเอเชียมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว
 

 
เมื่อพิจารณาแนวโน้มความตื่นตัวในภาพรวมของแต่ละประเทศทั่วโลกที่มีต่อแนวคิด “การเป็นเจ้าของ” และ “การเช่า” ที่อยู่อาศัยไปแล้วนั้น SCB EIC ได้ทำการสำรวจเชิงลึกเพื่อทำความเข้าใจพฤติกรรมและทัศนคติของผู้บริโภคชาวไทยต่อประเด็นดังกล่าว โดยผลการสำรวจสะท้อนให้เห็นมุมมองที่หลากหลายและแตกต่างกันไปตามบริบทต่าง ๆ 
โดยมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้.... 

ความเชื่อและแรงจูงใจเบื้องหลัง “การเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนไทย”

ผู้บริโภคชาวไทยส่วนใหญ่ยังคงให้ความสำคัญกับการเป็น “เจ้าของที่อยู่อาศัย” มากกว่าการเช่า โดยแนวคิดดังกล่าวเกิดจากความพร้อมและแรงผลักดันจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม และอารมณ์ ซึ่งสะท้อนค่านิยมและความเชื่อของสังคมไทยในหลายมิติ ดังนี้ 

1. รายได้และช่วงอายุ มีอิทธิพลต่อความต้องการและแรงจูงใจในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

อัตราการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย (ทั้งที่ซื้อขาดและอยู่ระหว่างผ่อนชำระ) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้และช่วงอายุของผู้บริโภค โดยรูปที่ 7 ชี้ว่า กลุ่มที่มีรายได้ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเฉลี่ยเพียง 50% แต่เมื่อคนกลุ่มนี้มีอายุมากกว่า 60 ปี สัดส่วนดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 75% เช่นเดียวกับกลุ่มผู้มีรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน มีสัดส่วนการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยประมาณ 80% และเพิ่มขึ้นเกินกว่า 90% ในกลุ่มที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป สะท้อนให้เห็นว่า แรงจูงใจที่ทำให้คนไทยสนใจซื้อบ้านมาจากรายได้ที่มั่นคง เพราะมีบทบาทสำคัญต่อทั้งความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อและการผ่อนชำระ อีกทั้ง ยังมีมุมมองว่า การมีบ้านเมื่ออายุเพิ่มขึ้นถือเป็นวิถีการสร้างความมั่นคงให้แก่ชีวิต ดังนั้น กลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางที่มีอายุมากขึ้นมักมองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เข้าถึงได้ หรือกลับไปตั้งถิ่นฐานหรือสร้างบ้านในภูมิลำเนาเดิมที่สามารถเป็นเจ้าของได้โดยไม่ต้องแบกรับภาระทางการเงินสูง นอกจากนี้ กลุ่มวัยกลางคนบางส่วนยังได้รับอสังหาฯ เป็นมรดกจากครอบครัว ส่งผลให้เมื่ออายุเพิ่มขึ้น อัตราการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยจึงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

รูปที่ 7 : อัตราการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามระดับรายได้และช่วงอายุของผู้บริโภค
 
 
 
2. คนไทยมักตัดสินใจซื้อบ้านเมื่อมีรายได้และรูปแบบการดำเนินชีวิตที่มั่นคงเพียงพอ กอปรกับค่านิยมด้านความภาคภูมิใจและความรู้สึกมีอิสระในการออกแบบ ตกแต่ง 

ปัจจัยที่มีผลต่อการตัดสินใจเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของคนไทยโดยรวมมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ระดับความสำคัญและแรงขับของแต่ละปัจจัยจะแตกต่างกันไปตามช่วงวัย โดยผู้บริโภค Gen Y (อายุ 27 – 44 ปี) ให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางรายได้มากที่สุด รองลงมาคือ อิสระในการตกแต่งที่อยู่อาศัยให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ อีกทั้ง ยังเป็นเพียงช่วงวัยเดียวที่ให้ความสำคัญกับการเปรียบเทียบความคุ้มค่าระหว่างการซื้อและการเช่าระยะยาว สำหรับ Gen X (อายุ 45 – 60 ปี) และ Baby boomer (อายุมากกว่า 60 ปี) ส่วนใหญ่จะตัดสินใจซื้อบ้านเมื่อสถานะการเงินมีความพร้อม อีกทั้ง ยังให้ความสำคัญกับการซื้อเพื่อเป็นมรดกแก่ลูกหลานในรุ่นถัดไป ดังนั้น ค่านิยมของคนไทยในการมีบ้านจึงอยู่ภายใต้กรอบความคิดในเรื่องความมั่นคงด้านรายได้และชีวิต ทั้งสำหรับตนเองและลูกหลาน อีกทั้ง ยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จของชีวิตและการให้ความรู้สึกมีอิสระเมื่อได้ตกแต่งให้เข้ากับไลฟ์สไตล์

รูปที่ 8 : สถานภาพทางการเงินที่มั่นคงเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย
 
 
 
3. ผู้ที่เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยมีแนวโน้ม “เปิดรับการเป็นผู้ให้เช่า” มากกว่าการเปลี่ยนบทบาทสู่ “ผู้เช่า”ผลสำรวจพบว่า กว่า 50% ของกลุ่มตัวอย่างที่เป็นเจ้าของที่พักอาศัย มีความสนใจหรืออยู่ระหว่างศึกษาการปล่อยเช่าที่พัก ทั้งในรูปแบบระยะสั้นและระยะยาว โดยส่วนใหญ่เลือกที่จะซื้ออสังหาฯ เพิ่มเติมเพื่อลงทุนปล่อยเช่า มากกว่าการแบ่งเช่าพื้นที่ในที่พักเดิม สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองของผู้บริโภคชาวไทยที่เห็นว่า การลงทุนในอสังหาฯ เป็นช่องทางสร้างความมั่งคั่งและรายได้ในระยะยาว ขณะเดียวกัน แนวโน้มการเปลี่ยนพฤติกรรมจาก “การเป็นเจ้าของ” ไปสู่ “การเช่าระยะยาว” ยังมีความเป็นไปได้ค่อนข้างน้อย โดยมักเกิดขึ้นเฉพาะในกรณีจำเป็น เช่น การย้ายถิ่นฐาน การปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิต หรือความต้องการลดภาระหนี้สินระยะยาวและลดค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ทั้งนี้สำหรับเจ้าของที่อยู่อาศัยกลุ่มอายุเกิน 60 ปี กว่า 40% ของกลุ่มตัวอย่าง แสดงความสนใจต่อโครงการที่พักแบบ Co-living หรือ Wellness center ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการด้านความสะดวกสบาย การดูแลสุขภาพ และการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่นในวัยเดียวกัน 

มุมมองต่อการเลือก “เช่าที่อยู่อาศัย ทดแทนการซื้อ”

ค่านิยมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต “การเช่าบ้านหรือที่พักระยะยาว” กำลังกลายเป็นหนึ่งในทางเลือกหลักของการอยู่อาศัย เนื่องจากผู้คนเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต การบริหารภาระทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา รูปที่ 9 ชี้ว่า คนไทยหันมาศึกษาและสนใจการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวแทนการซื้อขาดกันมากขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญ 3 ประการที่สะท้อนถึงค่านิยมสมัยใหม่ในการอยู่อาศัย ดังนี้ 

รูปที่ 9 : การเช่าที่อยู่อาศัยเป็นทางเลือกของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตทั้งในมิติของไลฟ์สไตล์ การบริหารภาระทางการเงิน และความสะดวกจากกระบวนการเช่า
 
 
 
1. ความอิสระและความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตกลายเป็นคุณค่าที่มีอิทธิพลเหนือกว่าความภูมิใจจากการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เกือบ 70% ของกลุ่มตัวอย่างหันมาให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตอย่างคล่องตัว ไม่ยึดติดกับสถานที่ โดยเฉพาะผู้บริโภค Gen Y และ Z ซึ่งอยู่ในช่วงวัยที่ยังพร้อมรับการเปลี่ยนแปลง เช่น การย้ายถิ่นเพื่อเรียนต่อหรือเปลี่ยนงาน ขณะเดียวกัน ราคาที่อยู่อาศัยในเขตเมืองใหญ่ที่ปรับตัวสูงเกินกำลังซื้อก็เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคหันมาเลือกเช่าที่พักในทำเลที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน นอกจากนี้ ยังพบว่าประมาณ 20% ของกลุ่มตัวอย่างที่อายุน้อยกว่า 45 ปี เริ่มมีมุมมองไม่เห็นด้วยกับค่านิยม “การมีบ้านถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จ” สะท้อนถึงแนวโน้มที่ค่านิยมการเป็นเจ้าของบ้านอาจค่อยๆ ลดความสำคัญลงในกลุ่มคนรุ่นใหม่

2. การหลีกเลี่ยงภาระหนี้ระยะยาวและความต้องการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างชัดเจน เป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ผลักดันให้ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันเลือกเช่าที่อยู่อาศัยแทนการซื้อขาด สะท้อนจากสัดส่วนกลุ่มตัวอย่างกว่า 50% เลือกเช่าที่อยู่อาศัย เพราะไม่ต้องการมีภาระผูกพันจากการผ่อนบ้านระยะยาว หรือหลีกเลี่ยงต้นทุนแฝงจากค่าซ่อมบำรุงต่าง ๆ ทั้งนี้แม้ว่าความสามารถในการเข้าถึงสินเชื่อหรือสถานะทางการเงินจะมีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลับเป็นเพียงปัจจัยรองในกระบวนการตัดสินใจสำหรับกลุ่มตัวอย่างในทุกระดับรายได้ เพราะปัจจัยหลักคือมุมมองที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคกลุ่มนี้ ซึ่งมองว่าการเป็นเจ้าของบ้านอาจสร้างข้อจำกัดด้านสภาพคล่องในระยะยาว ขณะที่การเช่าช่วยให้การบริหารค่าใช้จ่ายทำได้อย่างยืดหยุ่นและคาดการณ์ได้ชัดเจนกว่า

3. ความสะดวกและความคล่องตัวของตลาดเช่าระยะยาว เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้การเช่าที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ วิถีชีวิตของผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งให้ความสำคัญกับความง่าย รวดเร็ว และยืดหยุ่น โดยผลสำรวจพบว่า ราว 70% ของกลุ่มตัวอย่างเลือกเช่าที่พักระยะยาว เพราะสามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที กระบวนการเช่ามีขั้นตอนไม่ซับซ้อน ใช้เอกสารน้อย รวมถึงระยะเวลาเจรจาต่อรองก็สั้นและสะดวกกว่าการซื้อหรือกู้ซื้อบ้าน นอกจากนี้ ประมาณ 40% ของผู้ตอบแบบสอบถามยังให้ความสำคัญกับเงื่อนไขที่ยืดหยุ่นได้ เช่น ค่าเช่า ระยะเวลาการเช่า หรือการต่อสัญญา อีกทั้ง การมีแพลตฟอร์มและเว็บไซต์ตัวกลางต่าง ๆ ยังช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเปรียบเทียบราคา ทำเล และคุณภาพได้สะดวกมากขึ้น อนึ่ง ปัจจัยเหล่านี้ล้วนมาจากลักษณะเฉพาะของตลาดเช่าระยะยาวในประเทศไทย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการทำสัญญาโดยตรงระหว่างผู้ให้เช่า-ผู้เช่าที่เป็นบุคคลทั่วไป จึงมีส่วนทำให้การเจรจามีความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำกว่าการซื้อขายหรือกู้ซื้อบ้านที่มักมีหลายหน่วยงานเกี่ยวข้อง เช่น นายหน้า สถาบันการเงิน หรือหน่วยงานราชการ เป็นต้น

กระแสความนิยมในการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องตามไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับ “ความยืดหยุ่นและอิสระในการใช้ชีวิต” อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจของ SCB EIC พบว่า กลุ่มตัวอย่างผู้เช่าที่อยู่อาศัยกว่า 60% ยังคงมี “ความตั้งใจหรือมีโอกาสที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในอนาคต” โดยเฉพาะเมื่อ 1) รายได้มั่นคงมากขึ้น 2) ราคาอสังหาฯ หรืออัตราดอกเบี้ยปรับลดลงมาอยู่ในระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อ และ 3) มีมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐหรือสถาบันการเงิน เช่น โครงการบ้านหลังแรก หรือ สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ที่ช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของลง  ดังนั้น แม้แนวโน้ม “การเช่า” จะขยายตัวในหมู่ผู้บริโภครุ่นใหม่ แต่ “การเป็นเจ้าของบ้าน” ยังคงเป็นเป้าหมายสำคัญในระยะยาวของคนไทยส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงานช่วงกลางถึงปลาย ที่มองว่าการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองคือสิ่งที่สะท้อนถึงความมั่นคงและความสำเร็จของชีวิต

Part3 : พาหนะส่วนตัว
คนรุ่นใหม่กับทางเลือก ‘ซื้อ’ ‘เช่า’ หรือ ‘เรียกรถ’

คนไทยยังคงต้องการครอบครองพาหนะส่วนตัว แต่การเติบโตของบริการเรียกรถ (Ride-sharing) เริ่มส่งผลให้ “ความจำเป็นในการเป็นเจ้าของและการใช้งานรถยนต์ส่วนบุคคลลดลง” ขณะที่การเช่ารถระยะยาวยังได้รับความนิยมในวงจำกัด การใช้รถใช้ถนนนับเป็นวิถีการสัญจรหลักของผู้คนทั่วโลก หลายภาคส่วนจึงได้พัฒนากลยุทธ์และโมเดลธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อส่งเสริมให้รูปแบบการเดินทางและการใช้งานยานยนต์มีประสิทธิภาพ ยืดหยุ่นและหลากหลายมากยิ่งขึ้น ซึ่งหนึ่งในบริการที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงและความสะดวกในการสัญจร คือ บริการเรียกรถ (Ride-sharing) ข้อมูลจาก Statista Market Insights คาดการณ์ว่า มูลค่าบริการ Ride-sharing ทั่วโลกในปี 2025 จะสูงถึง 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัวได้เฉลี่ย 5% ต่อปี ระหว่างปี 2025–2030 แนวโน้มการเติบโตดังกล่าวนี้ สะท้อนถึงการเปิดรับของผู้บริโภคและความพร้อมของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทำให้ Ride-sharing สะดวก ปลอดภัย และเชื่อถือได้ นอกจากนี้ บริการดังกล่าวยังอาจทำให้การครอบครองยานยนต์ส่วนตัวลดความจำเป็นลง โดยเฉพาะเมื่อค่าบริการเรียกรถต่ำกว่าต้นทุนการเป็นเจ้าของ อีกหนึ่งบริการภายใต้แนวทาง Sharing economy คือ บริการเช่ารถระยะยาว หรือ Car subscription ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อสร้างความยืดหยุ่นและลดต้นทุนการถือครองทรัพย์สิน อย่างไรก็ตาม ตลาดเช่ารถระยะยาวในภูมิภาคเอเชียยังถือว่าอยู่ในระยะตั้งไข่ เพราะความนิยมของผู้บริโภคค่อนข้างจำกัด เนื่องจากส่วนใหญ่คุ้นชินกับการซื้อขาดตามค่านิยมดั้งเดิม ข้อมูลเกี่ยวกับบริการเช่ายังไม่มากพอ  ผู้เล่นในตลาดก็มีอยู่น้อยราย กอปรกับความพร้อมของกฎหมาย ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และมาตรการจูงใจจากภาครัฐก็มีไม่มากนัก 

สำหรับประเทศไทย เรามีอัตราการเป็นเจ้าของพาหนะส่วนตัวสูงเป็นอันดับ 3 ในภูมิภาคอาเซียน โดยมีการครอบครองยานยนต์และจักรยานยนต์รวมกันมากถึงราว 680 คันต่อประชากรวัยผู้ใหญ่ 1,000 คน เป็นรองเพียงบรูไนและมาเลเซีย  สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมความต้องการเป็นเจ้าของทรัพย์สิน อีกทั้ง ยังเป็นผลจากต้นทุนในการครอบครองยานยนต์ที่ค่อนข้างต่ำ ทั้งภาษีรถยนต์ ค่าต่อทะเบียน และค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน อีกทั้ง ระบบขนส่งสาธารณะก็ยังไม่ครอบคลุมทั่วประเทศ โดยเฉพาะนอกเขตเมืองใหญ่ ทำให้การมีพาหนะส่วนตัวกลายเป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่ได้มากกว่า อย่างไรก็ดี เมื่อบริการ Ride-sharing เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อการสัญจรในชีวิตประจำวันมากขึ้น กอปรกับธุรกิจเช่ารถระยะยาวก็เริ่มพัฒนาให้เข้าถึงง่าย มีความยืดหยุ่นและหลากหลาย ปัจจัยเหล่านี้จึงเริ่มมีผลต่อค่านิยมและพฤติกรรมของผู้บริโภคบางกลุ่ม ดังนั้น ผลการศึกษาภายใต้หัวข้อ “สำรวจใจคนไทยยุคใหม่ เลือกเช่าหรือเลือกซื้อ” จึงได้สะท้อนมุมมองของผู้บริโภคในยุคในปัจจุบันต่อการเป็นเจ้าของพาหนะส่วนตัวและแนวโน้มการใช้รถใช้ถนนที่กำลังเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยมีประเด็นสำคัญที่น่าสนใจดังนี้…

ปัจจัยประกอบการตัดสินใจซื้อและเทรนด์การใช้พาหนะส่วนตัวในระยะข้างหน้า

การครอบครองพาหนะส่วนตัวยังคงสะท้อนค่านิยมของผู้บริโภคชาวไทยที่มองว่า การเป็นเจ้าของสินทรัพย์มูลค่าสูงเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จและความภาคภูมิใจในชีวิต ขณะเดียวกัน รถยนต์ส่วนตัวยังตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และอิสระในการเดินทาง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนมีส่วนผลักดันให้คนไทยส่วนใหญ่ยังคงต้องการมียานยนต์เป็นของตนเอง ผลสำรวจ SCB EIC Consumer Survey พบว่า ประมาณ 76% ของกลุ่มตัวอย่างมียานยนต์อยู่ในความครอบครอง โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์นั่ง (เก๋งและ SUV) และจักรยานยนต์ ทั้งนี้ แรงจูงใจหลักที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจซื้อพาหนะส่วนตัวของผู้บริโภคกลุ่มนี้ประกอบด้วย 3 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ 1) ความพร้อมทางการเงินและรายได้ที่มั่นคง เพียงพอต่อการซื้อขาดหรือผ่อนชำระ 2) ความรู้สึกอิสระในการเลือกและตกแต่งยานยนต์ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์และรสนิยมส่วนบุคคล และ 3) สิทธิประโยชน์และข้อเสนอทางการตลาดที่น่าสนใจ เช่น ส่วนลด ของแถม หรือบริการหลังการขายที่เพิ่มความคุ้มค่า อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจัยดังกล่าวจะยังคงเป็นตัวกำหนดทิศทางหลักของการตัดสินใจซื้อพาหนะส่วนตัว แต่พฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนของผู้ครอบครองยานยนต์ในปัจจุบันเริ่มสะท้อนแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ ใน 2 ด้านหลัก ได้แก่ 

1. รอบการเปลี่ยนรถใหม่ของคนไทยช้าลง สะท้อนจากอายุการใช้งานรถยนต์ที่ยาวนานขึ้น โดยผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า เจ้าของรถยนต์นั่งและรถกระบะส่วนใหญ่จะเริ่มมองหาซื้อพาหนะใหม่ เมื่อรถคันเดิมมีอายุการใช้งานไม่น้อยกว่า 10 ปี ซึ่งผลสำรวจนี้สอดคล้องกับข้อมูลจากกรมการขนส่งทางบกที่ชี้ว่า ในปี 2024 รถยนต์ในประเทศไทยมีอายุการใช้งานเฉลี่ยราว 11 ปี เพิ่มขึ้นจากเฉลี่ย 8 ปี ในช่วงปี 2015 แนวโน้มดังกล่าวไม่เพียงเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ยังปรากฏในหลายประเทศทั่วโลก เช่น สหรัฐฯ, ยุโรป และออสเตรเลียซึ่งต่างก็มีอายุการใช้งานรถยนต์ยาวนานขึ้น (รูปที่ 10) โดยคาดว่าสาเหตุหลักมาจากต้นทุนการซ่อมบำรุงถูกลง ความหลากหลายและการเข้าถึงอะไหล่ง่ายขึ้น รวมถึงศูนย์บริการและอู่ขนาดย่อมก็กระจายตัวครอบคลุมและมีบริการครบวงจร ส่งผลให้รถยนต์สามารถใช้งานได้ยาวนานโดยไม่กระทบต่อสมรรถนะการขับขี่ อีกทั้ง ยังมีส่วนทำให้รอบการเปลี่ยนรถใหม่ของผู้บริโภคมีแนวโน้มยาวนานขึ้นอีกในระยะข้างหน้า ทั้งนี้ภาคธุรกิจที่คาดว่าจะสามารถเติบโตควบคู่ไปกับเทรนด์ดังกล่าว ได้แก่ ศูนย์บริการและอู่ซ่อมรถยนต์ รวมถึงตัวแทนจำหน่ายที่ให้ความสำคัญกับการยกระดับบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็นการซ่อมบำรุง การให้คำปรึกษาเชิงเทคนิค หรือการจัดหาอะไหล่ให้หลากหลายและเพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค นอกจากนี้ ผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ก็จะได้รับอานิสงส์จากความต้องการอะไหล่ทดแทนที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งตลาดในประเทศและส่งออก

รูป 10 : คนไทยส่วนใหญ่มีพาหนะเป็นของตน และรถที่ถือครองมีอายุการใช้งานเฉลี่ยมากกว่า 10 ปี
 
 
 
2. ความสะดวกของบริการ Ride-sharing กำลังลดแรงจูงใจในการเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนตัว

บริการ Ride-sharing กำลังเริ่มทำให้การใช้และครอบครองพาหนะส่วนตัวลดความจำเป็นลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า ผู้ที่มีรถยนต์ส่วนตัวจำนวนไม่น้อยใช้บริการ Ride-sharing อยู่บ่อยครั้ง (มากกว่า 5 ครั้งต่อเดือน) เพราะบางส่วนมองว่า ความสะดวกสบายของบริการดังกล่าวมีส่วนช่วยลดความจำเป็นในการใช้หรือเป็นเจ้าของรถยนต์ลง โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางเข้าสู่พื้นที่ที่การจราจรหนาแน่นหรือมีข้อจำกัดด้านที่จอดรถ (รูปที่ 11) นอกจากนี้ การพัฒนาแพลตฟอร์มในด้านความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ เช่น ระบบติดตามเส้นทางแบบเรียลไทม์ การให้คะแนนคนขับ และช่องทางชำระเงินที่ปลอดภัย มีส่วนช่วยเสริมความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการ ดังนั้น ในระยะข้างหน้า เราจะเริ่มเห็นแนวโน้มผู้บริโภคบางส่วนในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และหัวเมืองใหญ่ อาจชะลอการซื้อรถยนต์คันใหม่ แล้วหันมาใช้บริการ Ride-sharing เป็นทางเลือกหลักมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อค่าบริการมีความคุ้มค่ากว่าการครอบครองรถยนต์ และมีจำนวนรถให้บริการเพียงพอในช่วงเวลาเร่งด่วน อย่างไรก็ตาม สำหรับพื้นที่เมืองรองและต่างจังหวัด การสัญจรด้วยพาหนะส่วนตัวจะยังคงเป็นทางเลือกหลัก เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนรถและความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการ Ride-sharing ที่ยังไม่สามารถทดแทนการใช้รถส่วนตัวได้อย่างเต็มรูปแบบในระยะสั้น

รูป 11 : ความสะดวกของบริการ Ride-sharing ทำให้การใช้งานรถส่วนตัวลดความจำเป็นลง
 
 
 
แนวโน้มพฤติกรรมการใช้รถของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปกำลังสร้างความท้าทายให้กับตลาดรถยนต์ไทย โดยเฉพาะต่อวัฏจักรยอดขายรถใหม่ที่อาจเติบโตได้ช้ากว่าในอดีต เมื่อผู้คนเริ่มชะลอการซื้อรถคันใหม่ เพราะการใช้รถส่วนตัวถูกทดแทนมากขึ้นด้วยบริการ Ride-sharing ที่สะดวกกว่าในบางกรณี ดังนั้น ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงจำเป็นต้องเร่งปรับโมเดลธุรกิจให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตและตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ควรให้ความสำคัญกับบริการหลังการขายมากขึ้น ทั้งด้านการบำรุงรักษาและบริการเสริมต่าง ๆ อีกทั้ง ยังจำเป็นต้องพัฒนารถรุ่นใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ เช่น รถที่เหมาะกับการใช้สร้างรายได้ ประหยัดพลังงานและรองรับผู้โดยสารได้อย่างสบาย ขณะที่สถาบันการเงิน ก็ควรสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินรูปแบบใหม่ ๆ เช่น สินเชื่อเพื่อรถรับจ้าง บริการประกันภัยที่คุ้มครองการเดินทางในชีวิตประจำวัน หรือโครงการเช่าซื้อแบบยืดหยุ่น สำหรับภาครัฐ ต้องเร่งปรับปรุงกฎระเบียบและระบบใบอนุญาตขับขี่เพื่อหารายได้ให้มีมาตรฐานและความเป็นธรรมระหว่างคนขับแท็กซี่และผู้ขับขี่ทั่วไป รวมถึงกำกับดูแลแพลตฟอร์ม Ride-sharing ให้เกิดการแข่งขันที่โปร่งใส เป็นธรรม และมีความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้บริการมากขึ้น ภาพรวมเหล่านี้สะท้อนว่า การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคไม่ได้เป็นเพียงความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสสำคัญในการยกระดับทั้งระบบนิเวศของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้รถใช้ถนนของคนไทยอีกด้วย

แผนการเป็นเจ้าของ ‘รถคันแรก’ ของคนไทยยุคใหม่

ในช่วง 3–4 ปีที่ผ่านมา ตลาดรถยนต์ไทยได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเพราะกระแสนิยมยานยนต์พลังงานทางเลือก (xEV)  สร้างความตื่นตัวให้แก่ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค โดยนับตั้งแต่ปี 2022 ค่ายรถต่าง ๆ ในประเทศไทยได้เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าล้วน (BEV) รวมกันกว่า 280 รุ่น ขณะที่กลุ่มรถยนต์ไฮบริด (HEV และ PHEV) ก็มีตัวเลือกมากกว่า 330 รุ่น ด้วยเหตุนี้ ยานยนต์ xEV จึงกำลังก้าวขึ้นมาเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดรถยนต์ไทย และคาดว่าในปี 2026 จะครองส่วนแบ่งตลาดเกินกว่าครึ่งหนึ่งของยอดขายยานยนต์ในประเทศทั้งหมด  ไม่เพียงเท่านี้ โมเดลรถ SUV ก็เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากส่วนแบ่งยอดขายที่สูงถึง 23% ในช่วงปี 2024 – ตุลาคม 2025 เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากสัดส่วนในช่วงปี 2019 – 2023  ปัจจัยส่งเสริมสำคัญมาจากการที่ผู้ผลิตต่างหันมานำเสนอโมเดล SUV ขนาดกลางที่มีราคาจับต้องได้ อีกทั้ง ผู้บริโภคจำนวนหนึ่งก็หันมาเลือกซื้อรถ SUV เพื่อทดแทนรถกระบะ เนื่องจากตอบโจทย์การใช้งานทั้งขนของและการเดินทางในครอบครัว โดยเฉพาะครัวเรือนที่มีผู้สูงอายุ ด้วยแรงดึงดูดจากความหลากหลายทางเทคโนโลยี รูปโฉม และระดับราคาขาย ส่งผลให้ผู้ที่ยังไม่เคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อน เริ่มวางแผนซื้อรถคันแรกกันมากขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มนี้มีลักษณะเด่น 2 ประการ ได้แก่

1. รถยนต์พลังงานทางเลือก (xEV) กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับ “รถคันแรก” โดยเฉพาะกลุ่มไฮบริด (HEV และ PHEV) ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า กลุ่มตัวอย่างกว่า 60% วางแผนซื้อรถคันแรกในกลุ่มเครื่องยนต์ Hybrid ขณะที่รถ BEV ก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลาง-สูง สะท้อนจากราว 40% ของกลุ่มตัวอย่างที่เลือก BEV เป็นรถคันแรก มักมีรายได้เฉลี่ยมากกว่า 50,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้แนวโน้มดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลการจดทะเบียนรถยนต์นั่งของไทยที่พบว่า รถ BEV ระดับพรีเมียม (ราคาเกิน 1 ล้านบาท) มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  อย่างไรก็ตาม รูปที่ 12 ชี้ว่า ผู้บริโภคมักใช้เวลามากกว่า 3 ปี ในการศึกษาข้อมูลและตัดสินใจซื้อรถ BEV เนื่องจากบางส่วนรอช่วงจัดโพรโมชันที่คุ้มค่า อีกทั้ง ยังมีความกังวลเกี่ยวกับความมั่นคงของผู้ผลิต ค่าเบี้ยประกันอยู่ในระดับสูง รวมถึงการรอความพร้อมของอะไหล่และบริการหลังการขายให้ครอบคลุมและครบวงจรมากขึ้น สำหรับรถยนต์สันดาป (ICE) แม้จะถูกแทนที่มากขึ้นโดยรถพลังงานทางเลือก แต่ผู้ที่ยังเลือกรถน้ำมันเป็นรถคันแรกมักให้ความสำคัญกับความคุ้นเคยและความเชื่อมั่นต่อค่ายผู้ผลิตและบริการหลังการขาย ในระยะถัดไป รถยนต์พลังงานไฟฟ้า xEV จะถูกพิจารณาให้เป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ สำหรับเป็นพาหนะคันแรกของผู้บริโภคชาวไทย โดยการเปิดรับ BEV จะแพร่หลายได้มากขึ้น หากระบบนิเวศน์ยานยนต์ไฟฟ้า บริการหลังการขาย เครือข่ายชิ้นส่วนอะไหล่ยนต์ในประเทศ และต้นทุนการถือครอง มีความพร้อมและเอื้อต่อผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น

รูปที่ 12 : ผู้บริโภคยุคใหม่วางแผนเลือกซื้อรถยนต์ xEV เป็นพาหนะคันแรกในครอบครอง
 
 
 
2. บริการเช่ายานยนต์ระยะยาวจะยังไม่สามารถทดแทนการซื้อขาดได้ในช่วง 3–5 ปีข้างหน้า แม้กระแสบริการเช่าหรือ Car subscription จะเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น แต่ระดับความสนใจในประเทศไทยยังอยู่ในวงจำกัด โดยผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า มีเพียง 9% ของกลุ่มตัวอย่างที่ไม่มีพาหนะส่วนตัว กำลังศึกษาหรือสนใจบริการเช่าระยะยาว อย่างไรก็ดี หากพิจารณาระดับความตื่นตัวต่อบริการดังกล่าวจำแนกตามช่วงอายุ พบว่า ผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z (อายุไม่เกิน 26 ปี) มีแนวโน้มเปิดรับบริการเช่ายานยนต์ระยะยาวในสัดส่วนมากที่สุด ส่วนหนึ่งเพราะแนวคิดการใช้ชีวิตอย่างยืดหยุ่น ความต้องการมีพาหนะในครอบครองโดยใช้ต้นทุนไม่สูงนัก และสามารถทดลองยานยนต์หลากหลายรุ่น เนื่องจากเทคโนโลยีขับขี่มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อนึ่ง การเติบโตของบริการเช่าในประเทศไทยยังถูกจำกัดด้วยปัจจัยสำคัญ ได้แก่

a. ความรู้และข้อมูลประกอบการตัดสินใจยังไม่เพียงพอ กลุ่มตัวอย่างกว่า 65% ยังไม่มีความรู้เพียงพอที่จะสามารถเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนการเป็นเจ้าของกับค่าบริการเช่าได้อย่างชัดเจน อีกทั้ง ยังกังวลว่าการเช่าอาจมีต้นทุนแฝงอื่น ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายเกินไมล์ ค่าบำรุงรักษานอกเงื่อนไขสัญญา รวมถึงค่าปรับกรณีคืนรถก่อนกำหนด 

b. โพรโมชันและบริการเสริมยังไม่ทัดเทียมศูนย์บริการของค่ายรถ แม้แพ็กเกจการเช่าจะรวมประกันภัยและการบำรุงรักษามาแล้ว แต่บริการเสริมบางอย่างยังไม่ดึงดูดหรือสะดวกเมื่อเทียบกับศูนย์บริการ เช่น  บริการรถทดแทนระหว่างซ่อม ความช่วยเหลือฉุกเฉิน บริการรับ–ส่งรถถึงบ้าน เป็นต้น 

c. มาตรการสนับสนุนและผลิตภัณฑ์ทางการเงินยังมีไม่มาก โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับสิทธิประโยชน์ การซื้อรถใหม่ เช่น ดอกเบี้ยพิเศษ ส่วนลดทางภาษี หรือโพรโมชันจากค่ายรถต่าง ๆ ขณะที่หลายประเทศ เช่น สหราชอาณาจักรและบางประเทศในยุโรป ให้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีจากค่าเช่ารถได้เต็มจำนวน ทั้งในกลุ่มบุคคลทั่วไปและภาคธุรกิจ นอกจากนี้ สถาบันการเงินต่างประเทศยังพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อการเช่าและบริการ Subscription เฉพาะทาง ที่ช่วยลดต้นทุนรายเดือนและออกแบบแพ็กเกจให้หลากหลายและยืดหยุ่นกว่าของไทยอย่างชัดเจน

รูปที่ 13 : ระดับความสนใจต่อบริการเช่ารถระยะยาวอยู่ในวงจำกัด เพราะเผชิญความกังวลหลายด้าน
 
 
 
ทิศทางการเลือกพาหนะคันแรกของผู้บริโภคไทยในระยะข้างหน้ายังคงเน้นรูปแบบการซื้อขาดเป็นหลัก แต่ประเภทของรถที่เลือกมีแนวโน้มเปลี่ยนไปสู่ยานยนต์พลังงานทางเลือก (xEV) โดยเฉพาะกลุ่มไฮบริด (HEV และ PHEV) ซึ่งตอบโจทย์ด้านความประหยัดเชื้อเพลิง บริการหลังการขายสะดวก และมีอุปทานอะไหล่ยนต์รองรับ เนื่องจากผู้ผลิตรายใหญ่ในกลุ่มนี้ต่างเป็นค่ายรถที่ตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน ในทางกลับกัน บริการเช่ารถระยะยาวยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น และยังต้องเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งจากค่านิยมความต้องการเป็นเจ้าของสินทรัพย์ของผู้บริโภคไทย กอปรกับความเข้าใจเกี่ยวกับต้นทุนและประโยชน์ของการเช่าที่ยังไม่แพร่หลาย ดังนั้น การเติบโตของบริการเช่าระยะยาวจึงจำเป็นต้องได้รับการผลักดันเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้ผู้บริโภคเข้าถึงและเข้าใจมากขึ้น การออกแบบบริการให้ครบวงจรและยืดหยุ่น ร่วมกับการสร้างความร่วมมือระหว่างค่ายรถ ผู้ให้บริการเช่า ภาคการเงิน และภาครัฐ เพื่อสร้างแรงจูงใจและความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภค

วิถีการสัญจรของผู้บริโภคที่เลือกจะไม่ครอบครองพาหนะส่วนตัว

แม้การมีพาหนะส่วนตัวจะยังเป็นค่านิยมหลักของผู้บริโภคไทย แต่ความจำเป็นในการเป็นเจ้าของรถยนต์เริ่มลดลงในผู้บริโภคบางกลุ่ม เนื่องจากตัวเลือกการสัญจรในปัจจุบันมีความหลากหลายและครอบคลุมมากขึ้น ทั้งระบบขนส่งสาธารณะ บริการเรียกรถ (Ride-sharing) ทางเท้า รวมถึงเลนจักรยาน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ผู้บริโภคสามารถเดินทางได้โดยไม่จำเป็นต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายหรือหนี้สินระยะยาวจากการเป็นเจ้าของรถยนต์ ผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกือบ 40% ที่ปัจจุบันไม่มีพาหนะเป็นของตนเอง “ไม่มีแผนซื้อรถ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว” ส่วนหนึ่งเพราะเลือกใช้ระบบขนส่งมวลชนเป็นหลัก ซึ่งแนวโน้มดังกล่าวสะท้อนว่า การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะให้ครอบคลุม เข้าถึงง่าย และมีต้นทุนที่เหมาะสมกับค่าครองชีพ จะช่วยบรรเทาปัญหาได้ในหลายมิติ ทั้งการจราจรติดขัด การลดอุบัติเหตุบนท้องถนน รวมถึงมลพิษทางอากาศและเสียง 

ไม่เพียงเท่านี้ บริการ Ride-sharing ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกการเดินทางที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยกว่า 40% ของผู้ที่ไม่มีพาหนะส่วนตัว ใช้บริการดังกล่าวเป็นช่องทางหลักในการสัญจรในชีวิตประจำวัน ขณะที่ปัจจัยด้านความยั่งยืนก็เป็นอีกแรงผลักดันสำคัญที่ทำให้การมีพาหนะส่วนตัวลดความสำคัญลง โดยราว 20% ของกลุ่มตัวอย่างเลือกเดินทางด้วยวิธีที่ปล่อยมลพิษต่ำหรือไร้มลพิษ เช่น เดิน ขี่จักรยาน หรือใช้สกูตเตอร์ไฟฟ้า ส่วนหนึ่งเพราะผู้บริโภคกลุ่มนี้มักเลือกพักอาศัยในทำเลใจกลางเมืองหรือใกล้ที่ทำงาน ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานในการสัญจรรูปแบบเหล่านี้สะดวกและมีความพร้อม จนมีส่วนช่วยเลี่ยงการใช้รถใช้ถนนและลดเวลาที่ต้องเผชิญกับปัญหารถติด แนวโน้มทั้งหมดนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการสัญจรของผู้บริโภคยุคใหม่ที่บางส่วนเริ่มให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่น ความคุ้มค่า และคุณภาพชีวิตที่ดี เหนือกว่าการมีพาหนะส่วนตัวเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความสำเร็จอย่างที่เคยเป็น
ในอดีต (รูปที่ 14)

รูปที่ 14 : ตัวเลือกการสัญจรที่หลากหลายและเข้าถึงง่าย มีส่วนลดความจำเป็นในการเป็นเจ้าของพาหนะส่วนตัว
 
 
 
โดยสรุป พฤติกรรมการครอบครองพาหนะของผู้บริโภคไทยกำลังเปลี่ยนแปลงไปท่ามกลางตัวเลือกการสัญจรที่หลากหลายและเข้าถึงง่ายขึ้น แม้การมีรถยนต์ส่วนตัวจะยังคงเป็นค่านิยมหลักของผู้คนส่วนใหญ่ แต่รูปแบบการใช้และแผนการตัดสินใจซื้อรถกลับแตกต่างจากอดีตอย่างมีนัยสำคัญ ผู้บริโภคที่มีรถยนต์อยู่แล้วมักใช้งานยาวนานขึ้น ขณะเดียวกัน แผนการซื้อรถคันแรกของผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยกำลังเปลี่ยนไปสู่กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า (xEV) ไม่เพียงเท่านี้ การเป็นเจ้าของพาหนะไม่ใช่ “ความจำเป็น” สำหรับทุกคนอีกต่อไป ส่วนหนึ่งเพราะการขยายตัวของระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงความนิยมของบริการ Ride-sharing โดยรูปแบบการสัญจรเหล่านี้กลายเป็นทางเลือกหลักสำหรับผู้บริโภคในเขตเมือง นอกจากนี้ บริการเช่ารถระยะยาวหรือ Car subscription ก็เริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์แบบยืดหยุ่น ไม่ต้องการมีภาระหนี้สิน และต้องการเปลี่ยนรุ่นรถตามเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้ต่างผลักดันให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องต้องเร่งปรับตัว ผู้ประกอบการยานยนต์ต้องออกแบบรถและบริการหลังการขายที่เหมาะกับการใช้งานในระยะยาว ภาคการเงินต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้ยืดหยุ่นขึ้น ขณะที่ภาครัฐมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ โครงสร้างพื้นฐาน EV และมาตรการสนับสนุนที่เอื้อต่อรูปแบบการสัญจรยุคใหม่ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคสามารถเลือกวิธีการเดินทางที่เหมาะสม คุ้มค่า และตอบโจทย์คุณภาพชีวิตมากที่สุด

บทวิเคราะห์โดย... https://www.scbeic.com/th/detail/product/Buy-or-Rent-EP1-041225

ผู้เขียนบทวิเคราะห์
 
 
ฐิตา เภกานนท์ (tita.phekanonth@scb.co.th นักวิเคราะห์อาวุโส

บันทึกโดย : วันที่ : 09 ธ.ค. 2568 เวลา : 17:58:59
10-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (9 ธ.ค.68) บวก 8.48 จุด ดัชนี 1,269.87 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 ธ.ค.68) บวก 3.83 จุดดัชนี 1,265.22 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงปลายของกรอบแคบ รอการเลือกทาง "Breakout" แนวรับที่ 4,180-4,160 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,260 เหรียญ

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (8 ธ.ค.68) ร่วง 25.30 ดอลลาร์ นักลงทุนระวังการซื้อขายก่อนประชุมเฟด

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (8 ธ.ค.68) ร่วง 215.67 จุด บอนด์ยีลพุ่งฉุดตลาด-จับตาประชุมเฟด

6. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (9 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.91 บาทต่อดอลลาร์

7. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.80 - 32.05 บาท/ดอลลาร์

8. พยากรณ์อากาศวันนี้ (9 ธ.ค.68) ภาคเหนือ-ภาคอีสาน อากาศเย็นถึงหนาว ภาคกลาง-กรุงเทพปริมณฑล-ภาคตะวันออก-ภาคใต้ตอนบน อากาศเย็นในตอนเช้า

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (9 ธ.ค.68) บวก 3.80 จุดดัชนี 1,265.19 จุด

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (9 ธ.ค. 68) ลดลง 150 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,100 บาท

11. ตลาดหุ้นปิด (8 ธ.ค.68) ลบ 12.38 จุด ดัชนี 1,261.39 จุด

12. ประกาศ กปน.: 11 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนลาดกระบัง

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (8 ธ.ค.2568) ลบ 4.39 จุด ดัชนี 1,269.38 จุด

14. ทีทีบี คาดแนวโน้มเงินบาทสัปดาห์นี้แข็งค่า รับแรงหนุนจากดอลลาร์อ่อน ตลาดคาดเฟดลดดอกเบี้ย

15. กรุงศรีคาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 31.80-32.35 มองเฟดลดดอกเบี้ย ลุ้นโทนสื่อสาร

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 10, 2025, 1:32 pm