ความบาดหมางระหว่างไทย-กัมพูชาบริเวณพื้นที่ชายแดน ได้ดำเนินมาถึงจุดเดือดอีกครั้ง เมื่อทางกัมพูชาได้เปิดฉากยิงในพื้นที่ช่องอานม้า เมื่อวันที่ 8 ธ.ค. 2568 ที่ผ่านมา ทำให้ทางฝั่งไทยจำเป็นต้องตอบโต้กลับตามกฎการปะทะ เพื่อปกป้องอธิปไตยของประเทศเอาไว้ ซึ่งในสถานการณ์ที่ยังติดพันการรบกันอยู่นี้ นับเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและการลงทุน ที่ตลาดจำเป็นต้องมีการปรับตัวเพื่อผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งนี้ไปให้ได้
ด้วยความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ที่มีเรื่องของการพึ่งพาทางเศรษฐกิจซึ่งกันและกัน เมื่อเกิดความขัดแย้งที่รุนแรงจนถึงการปะทะด้วยกำลังทหาร กิจกรรมทางเศรษฐกิจจากทั้งสองฝากฝั่งจึงต้องหยุดชะงักลง โดยเฉพาะในฝั่งของประเทศไทย ที่ได้ดุลการค้าจากกัมพูชามากกว่า 8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต้องหายไป ไม่เพียงแค่นั้น ในความขัดแย้งรอบใหม่นี้ ทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อาจมีผลต่อการปิดดีลเจรจากับสหรัฐตามเป้าหมายภายในสิ้นปีนี้ ที่หวังว่าจะลดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าไทยไปสหรัฐให้ต่ำกว่า 19% เพราะทางโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ได้เคยอ้างตนเป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ จากการยุติความขัดแย้งไทยกัมพูชา และอีก 6 สงครามไปก่อนหน้านี้ รวมถึงการที่เคยขู่ว่าจะใช้มาตรการภาษีมากดดันไทยให้ยุติปะทะชายแดน ซึ่งการที่ทรัมป์ได้เข้ามาแทรกแซงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นอีกครั้งนี้ อาจทำให้ดีลสหรัฐต้องเลื่อนออกไป ดังนั้นจึงเสี่ยงที่จะกระทบกับเศรษฐกิจไทย ที่ได้ดุลการค้าราว 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือรวมทั้งสิ้น 27.7% ที่ไทยต้องสูญเสียรายได้ด้านมูลค่าการส่งออกสินค้าสุทธิไปยังกัมพูชาและสหรัฐประมาณ 5% ของ GDP เลยทีเดียว
ซึ่งในมุมมองของนักลงทุนทั่วโลกที่ต่างจับตามองนโยบายระหว่างประเทศของไทย ว่าจะมีการเจรจากันกับกัมพูชา หรือจะตอบโต้กันอย่างรุนแรงไปจนถึงจุดไหน ก็กลายเป็นปัจจัยกดดันด้านการลงทุน โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ที่ตอนนี้มีความกังวลถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริษัทของไทยที่มีฐานตลาด หรือมีฐานการผลิตอยู่ในกัมพูชา นอกจากนี้ ทางศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังเปิดเผยว่า แม้ผลกระทบต่อ GDP อยู่ในกรอบที่จำกัด เนื่องจากความขัดแย้งในรอบก่อน ได้กระทบกับเศรษฐกิจไปก่อนแล้ว อีกทั้งพื้นที่ชายแดนที่ได้รับผลกระทบเป็นโซนที่มีการพึ่งพาแรงงานกัมพูชาที่มีอัตราสูง แต่พื้นที่ดังกล่าวยึดโยงกับภาคการเกษตร หากมีการยืดเยื้อ อาจกระทบต่อต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และกระทบต่อแนวทางการตัดสินใจของนักลงทุนต่างประเทศที่จะเข้ามาลงทุน
ขณะที่ บล.พาย หรือ Pi Securities ประเมินว่า ความไม่สงบไทย-กัมพูชา จะมีความกดดันเชิงจิตวิทยา แม้ในเชิงเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนจะไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็อาจจะมีบางบริษัทที่มีรายได้ในกัมพูชาได้รับผลกระทบ ส่วนด้านการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาอาจลดลง เนื่องจากการตีความสถานการณ์ความขัดแย้งว่าเกิดขึ้นในประเทศไทย ไม่ได้มองว่าเป็นเพียงแค่พื้นที่ชายแดนตามความจริง ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ควรพิจารณาบริษัทจดทะเบียนที่โดยพื้นฐานยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง อันเป็นโอกาสสะสมที่รอการฟื้นตัวในช่วงที่ปัจจัยข้างต้นจะเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ดีขึ้น อย่างหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ BBL, KBANK, KTB, SCB ธุรกิจค้าปลีก อย่าง CPALL HMPRO ศูนย์การค้า เช่น CPN การเงิน เช่น MTC, TIDLOR และกลุ่มการท่องเที่ยว เช่น MINT, CENTEL เป็นต้น
ส่วนทาง บล.เอเซีย พลัส มองว่า โครงการ TISA อันเป็นโครงการของภาครัฐ ที่หวังว่าจะช่วยกระตุ้นให้ประชาชนกลับมาลงทุนในตลาดทุนไทยมากขึ้น ผ่านการวางแผนการออม-การลงทุนส่วนบุคคลนั้น จะช่วยป้องกันตลาดหุ้นไทยจากความขัดแย้งได้ ซึ่งในช่วง 5 วันนี้ มีเม็ดเงินต่างชาติเข้ามาลงทุนหุ้นไทยกว่า 4.7 พันล้านบาท ที่คอยพยุงตลาดไว้อยู่ จึง แนะนำให้ลงทุนในหุ้นรับกระแส TISA ได้แก่ 1.กลุ่มหุ้นที่มีรายได้เพิ่มจากโครงการ TISA อย่าง BBL, KGI, KBANK, KTB, SCB, ASP 2.กลุ่มหุ้นที่หวังปันผลสูง ได้แก่ SIRI, PTTEP, ICHI, MAJOR, DRT, SC, BA, LH, MC, STA และ 3.กลุ่มหุ้นที่มี ESG RATING AAA ขนาดใหญ่ ได้แก่ PTT, KBANK, KTB, CPALL, BBL, CPN, SCC, TTB, CPF, OR เป็นต้น
ข่าวเด่น