แบงก์-นอนแบงก์
เดินหน้าสู่ปี 2026...ปรับสมดุลภาคส่งออกไทย เสริมบทบาท SMEs


 
ปี 2025 ที่กำลังจะจบลง เป็นอีกปีที่การส่งออกกลับมาเติบโตในระดับสูงและเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย ทว่าเมื่อเครื่องยนต์ทำงานหนักมาอย่างยาวนาน ท่ามกลางพลวัตใหม่ของเศรษฐกิจโลกที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น เครื่องยนต์นี้ส่งสัญญาณที่เด่นชัดขึ้นและควรให้ความสำคัญคือ "ความไม่สมดุลเชิงโครงสร้างของผู้ส่งออก" ซึ่งมิได้เป็นเพียงข้อสังเกตเชิงสถิติ แต่เป็นสัญญาณเตือนที่ควรนำมาทบทวนอย่างจริงจัง หากต้องการให้การส่งออกไทยมีความมั่นคงและแข่งขันได้ในระยะยาว ฝ่ายวิจัยธุรกิจ EXIM BANK ได้วิเคราะห์ข้อมูลระดับ Firm-level Data ของผู้ส่งออกเฉพาะที่เป็นนิติบุคคลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา (ปี 2556-2567) โดยสรุปได้ 3 ประเด็นที่น่าสนใจและถือเป็นโจทย์ใหญ่ที่ต้องเร่งแก้ไขอย่างเป็นระบบ ดังนี้
 
 
• ความไม่สมดุลของ SMEs กับรายใหญ่...SMEs เยอะ แต่มูลค่าส่งออกน้อย
 
โครงสร้างผู้ส่งออกในปัจจุบันสะท้อนความไม่สมดุลอย่างเด่นชัดระหว่าง “จำนวนผู้ส่งออก” กับ “มูลค่าส่งออก” โดยจำนวนผู้ส่งออก SMEs แม้มีสัดส่วนสูงถึงเกือบ 80% ของผู้ส่งออกทั้งหมด แต่กลับสร้างมูลค่าส่งออกได้เพียง 10% ของมูลค่าส่งออกรวม ขณะที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ที่มีอยู่ราว 20% กลับครองสัดส่วนมูลค่าส่งออกกว่า 90% สภาพการณ์เช่นนี้ก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง (Systematic Risk) และความเปราะบางของภาคส่งออกไทย หากเกิดกรณีที่ผู้ส่งออกรายใหญ่ประสบความผันผวนทางธุรกิจทั้งจากปัญหาภายในหรือภายนอก ผลกระทบย่อมส่งผ่านไปยังภาคส่งออกทั้งระบบโดยตรงและต่อเนื่องไปยังระบบเศรษฐกิจในภาพรวม การยกระดับศักยภาพ SMEs ให้มีบทบาทเชิงมูลค่าสูงขึ้นจึงมิใช่เพียงนโยบายเสริม แต่เป็นเงื่อนไขสำคัญต่อการสร้างโครงสร้างการค้าที่แข็งแรง กระจายความเสี่ยงได้ดี และยืนหยัดต่อความท้าทายจากเศรษฐกิจโลกในระยะยาว
 
• ความไม่สมดุลของผู้ส่งออกที่คงอยู่กับหายไป...เพียง 30% เท่านั้นที่ส่งออกได้ต่อเนื่อง
 
จากการวิเคราะห์ข้อมูลในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการหมุนเวียนในระบบส่งออกราว 6.6 หมื่นราย ในจำนวนนี้มีเพียงราว 30% ที่รักษาสถานะการส่งออกอย่างต่อเนื่องนับจากปีแรกที่เข้าสู่ระบบ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ยืนระยะในตลาดโลกได้อย่างมั่นคง ส่วนที่เหลือซึ่งมีจำนวนมากเป็นการเข้ามาชั่วคราวก่อนจะออกไปจากระบบ ส่งผลให้จำนวนผู้ส่งออกโดยรวมของไทยไม่เพิ่มขึ้นอย่างที่ควร ทั้งยังจำกัดศักยภาพในการเพิ่มฐานมูลค่าส่งออกของประเทศในระยะยาว ความท้าทายนี้สะท้อนว่า ผู้ประกอบการจำนวนมากยังมีปัญหาและขาดความพร้อมในหลายด้าน เช่น องค์ความรู้ที่สำคัญทางการค้า ความสามารถในการเข้าถึงตลาดหรือผู้ซื้อในต่างประเทศ รวมถึงแหล่งเงินทุนในการสนับสนุน การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ผู้ส่งออกสามารถ “ส่งออกต่อเนื่องได้” จึงเป็นวาระสำคัญ เพราะผู้ประกอบการที่ยืนระยะได้จะเป็นฐานหลักในการขยายมูลค่าส่งออก สร้างความมั่นคงของระบบการค้า และเพิ่มความหลากหลายของสินค้าส่งออกได้อีกทางหนึ่ง 
 
• ความไม่สมดุลของการกระจายตลาดส่งออก...45% พึ่งพาเพียงตลาดเดียว
 
ปัจจุบันผู้ส่งออกไทยจำนวนมากพึ่งพาตลาดเพียงไม่กี่แห่ง โดยข้อมูลปี 2567 มีผู้ส่งออกถึง 45% ที่ทำการค้ากับตลาดเดียว ขณะที่สองตลาดอยู่ที่ 16% และสามตลาดอยู่ที่ 9% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ส่งออกไทยมากกว่าสองในสามยังไม่ได้กระจายตลาดอย่างเพียงพอ สถานการณ์เช่นนี้ทำให้โครงสร้างการค้าของไทยมีความเปราะบาง เนื่องจากความผันผวนทางเศรษฐกิจ นโยบายการค้า หรือปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ของตลาดใดตลาดหนึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกจำนวนมากพร้อมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การส่งเสริมให้ผู้ส่งออกกระจายตลาดมากขึ้นจึงเป็นอีกหนึ่งวาระสำคัญ นอกจากนี้ ท่ามกลางภาวะที่เศรษฐกิจตลาดหลักชะลอตัวและมีนโยบายการค้าที่เข้มงวด การกระจายตลาดอาจเริ่มไปที่ “พรมแดนการค้าใหม่” เช่น เอเชียใต้ ตะวันออกกลาง แอฟริกา และตลาดศักยภาพอื่น ๆ ที่กำลังเติบโต ซึ่งจะเป็นโอกาสสำคัญในการขยายฐานอุปสงค์ของสินค้าไทย การเพิ่มจำนวนตลาดส่งออกและการขยายขอบเขตไปยังตลาดใหม่ๆ จะช่วยปรับโครงสร้างภาคส่งออกให้สมดุลยิ่งขึ้น ทำให้ภาคส่งออกมีความยืดหยุ่นต่อความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่ง
 
หัวใจของการยกระดับภาคส่งออกไทยในวันนี้ ไม่ได้อยู่ที่การขยายการเติบโตของมูลค่าส่งออกเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่การปรับสมดุลเชิงโครงสร้างให้แข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะการทำให้ SMEs ซึ่งเป็นฐานผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศสามารถเติบโต ก้าวสู่การเป็นผู้ส่งออกศักยภาพ และมีบทบาทเชิงมูลค่าสูงขึ้น แนวทางนี้ไม่เพียงช่วยให้เครื่องยนต์ส่งออกของไทยเดินหน้าอย่างมั่นคงในสภาพแวดล้อมเศรษฐกิจโลกที่ผันผวน แต่ยังสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาภายใต้นโยบายและแผนสำคัญของประเทศที่มุ่งเน้นไปที่การสร้างผู้ส่งออกรุ่นใหม่และยกระดับขีดความสามารถของ SMEs หากไทยสามารถปรับสมดุลโครงสร้างภาคส่งออกให้ “ฐานกว้าง แข็งแรง กระจายตัวดี” ภาคส่งออกไม่เพียงฟื้นตัว แต่จะมีศักยภาพเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 ธ.ค. 2568 เวลา : 15:22:24
13-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิด (12 ธ.ค.68) บวก 0.56 จุด ดัชนี 1,254.10 จุด

2. MTS Gold คาดราคาทองคำเข้าสู่รูปแบบ "Sideway Up" ขณะที่วันนี้ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,250-4,230 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,300-4,320 เหรียญ

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (12 ธ.ค.68) บวก 0.29 จุด ดัชนี 1,253.83 จุด

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (11 ธ.ค.68) พุ่ง 88.30 ดอลลาร์ ขานรับเฟดลดดอกเบี้ย

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (11 ธ.ค.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 646.26 จุด รับเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก

6. พยากรณ์อากาศวันนี้ (12 ธ.ค.68) ภาคใต้ มีฝนเพิ่มขึ้น 70% กับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ ส่วนประเทศไทยตอนบนอากาศเย็นในตอนเช้าและมีฝน 10-20% บางพื้นที่

7. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (12 ธ.ค.68) บวก 1.32 จุด ดัชนี 1,254.86 จุด

9. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,750 บาท

10. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (12 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์

11. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำลาดกระบัง

12. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสิรินธร

13. ตลาดหุ้นปิด (11 ธ.ค.68) ลบ 16.33 จุด ดัชนี 1,253.54 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (11 ธ.ค.68) ลบ 14.54 จุด ดัชนี 1,255.33 จุด

15. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (10 ธ.ค.68) ร่วง 11.50 ดอลลาร์ ก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟดลดดอกเบี้ย

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 13, 2025, 10:19 am