เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ttb analytics คาดเศรษฐกิจไทยปี 2569 โตเพียง 1.6% หลังปัจจัยหนุนแผ่วลง-ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ฉุดเศรษฐกิจขยายตัวต่ำสุดในรอบ 5 ปี ชี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความจริงมากกว่าปีที่ผ่านมา


ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ทีทีบี หรือ ttb analytics ประเมินการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2569 จะอยู่ที่ 1.6% ชะลอลงจากปีก่อนที่ราว 2% จากปัจจัยชั่วคราวที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้าจะทยอยหมดลง ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่นที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต ทั้งนี้ แม้ว่าการท่องเที่ยวและการลงทุนต่างชาติจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักในปีหน้า แต่เพดานการฟื้นตัวเริ่มจำกัดเช่นกัน จากรายได้ของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำ ขณะที่การลงทุนจากต่างชาติที่เข้ามาในระยะหลังเน้นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูงซึ่งสร้างแรงกระเพื่อมต่อเศรษฐกิจน้อย 

ปัจจัยหนุนแผ่วลง-ปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน ฉุดเศรษฐกิจปี 2569 โตต่ำสุดในรอบ 5 ปี  
 
ttb analytics ประเมินเศรษฐกิจปี 2569 ขยายตัว 1.6% ชะลอลงจากปี 2568 ที่คาดว่าจะขยายตัว 2% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตต่ำสุดในรอบ 5 ปี จากการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2568 จนถึงครึ่งแรกของปี 2569 ซึ่งแม้ว่าผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยจากการขึ้นภาษีนำเข้าศุลกากรของทรัมป์จะไม่รุนแรงอย่างที่เคยประเมินไว้ แต่ปัจจัยชั่วคราวที่เคยช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการเร่งส่งออกสินค้าซึ่งส่งผลบวกต่อกิจกรรมในภาคส่งออกและภาคอุตสาหกรรมจะทยอยหมดลง ขณะที่แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ที่เคยผลักดันเศรษฐกิจในอดีตก็มีข้อจำกัดในการเติบโต และยังไม่มีตัวไหนเป็นเครื่องยนต์ของเศรษฐกิจอย่างแท้จริง โดยปัจจัยฉุดรั้งที่สำคัญในปี 2569 ไม่ว่าจะเป็น

1. การชะลอตัวของภาคส่งออกจากหลายสาเหตุ ได้แก่ (1) ผลของการเร่งตัวผิดปกติในช่วงต้น (Front-loading) ในการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบจากภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา จึงทำให้ปริมาณสต็อกสินค้าในต่างประเทศค่อนข้างสูง (2) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและสหรัฐฯ จากผลกระทบของภาษีทรัมป์ที่จะเห็นชัดเจนขึ้นในปี 2569 และความกังวลจากภาวะฟองสบู่ในการลงทุนด้านเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) (3) ความเสี่ยงจากการถูกตั้งกำแพงภาษีเพิ่มเติมภายใต้ข้อกฎหมายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะครอบคลุมกลุ่มสินค้าที่มีความเสี่ยงจะถูกสวมสิทธิ (Transshipment Risk) และสินค้าที่สำคัญในเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (Strategic Products) และ (4) การแข่งขันในสินค้าส่งออกของไทยในตลาดสหรัฐฯ และตลาดหลักอื่นที่จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้น จากความเสียเปรียบด้านราคา โดยเป็นผลพวงหลังสหรัฐฯ และจีนบรรลุข้อตกลงร่วมกันในการลดอัตราภาษีสูงเป็นระยะเวลา 1 ปี อีกทั้งจีนยังมีแนวโน้มกระจายการส่งออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้นจากกำลังการผลิตที่อยู่ในระดับสูง 

2. การใช้จ่ายภาครัฐมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางการเมือง แม้มีการส่งสัญญาณเลือกตั้งใหม่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2569 แต่ความไม่แน่นอนทางการเมืองคาดว่าจะยังคงอยู่และอาจส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเมืองในระยะต่อไป ซึ่งนอกจากจะกระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและโครงการภาครัฐจำนวนมากในปีงบประมาณ 2569 แล้ว ยังอาจส่งผลให้การจัดทำร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2570 มีความเสี่ยงที่จะล่าช้าออกไปจากช่วงเวลาปกติ นอกจากนี้ ข้อจำกัดด้านงบประมาณและความพยายามลดการขาดดุลทางการคลัง จะทำให้พื้นที่ทางการคลังที่เหลืออยู่ถูกดึงไปใช้แก้ไขปัญหาแบบเฉพาะเจาะจงเพื่อประคองภาพเศรษฐกิจโดยรวมมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่     

3. การบริโภคภาคเอกชนมีข้อจำกัดในการเติบโตมากขึ้น ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกระตุ้นการจับจ่ายถูกดึงมาใช้ตั้งแต่ปลายปี 2568 มาจนถึงต้นปี 2569 และอาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อประชาชนและเม็ดเงินที่จะนำมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี นอกจากนี้ ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูงเกินกว่า 80% ของจีดีพีมาเป็นระยะเวลายาวนานมากกว่า 10 ปี จะยังคงบั่นทอนกำลังซื้อของประชาชนต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อในหมวดสินค้าคงทน (เช่น รถยนต์และที่อยู่อาศัย) อาจยังไม่สามารถกลับสู่ระดับเดิมเหมือนในอดีต 

ในด้านเสถียรภาพทางการเงิน ttb analytics ประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% ในรอบการประชุมเดือนธันวาคมสู่ระดับ 1.25% ณ สิ้นปี 2568 พร้อมกับการปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อลงในปี 2568-2569 มองไปข้างหน้า ttb analytics ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะปรับลดลงอยู่ที่ 0.75-1% ณ สิ้นปี 2569 ซึ่งจะเป็นการปรับนโยบายทางการเงินให้มีความสมดุล (Recalibration) และสอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจที่ชะลอลงในหลายภาคส่วน จากเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าที่มีแนวโน้มเติบโตต่ำลง อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่าจะอยู่ต่ำกว่ากรอบล่างเป้าหมายต่อไป นอกจากนี้ การผ่อนคลายนโยบายการเงินอย่างต่อเนื่องจะมีส่วนช่วยบรรเทาภาระหนี้แก่ภาคครัวเรือนและ SMEs ควบคู่ไปกับมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้แบบเฉพาะเจาะจงอื่น ๆ เช่น โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” โครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” เป็นต้น 

สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทในปี 2569 คาดว่าเงินบาทเทียบดอลลาร์สหรัฐมีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้บ้างในช่วงครึ่งแรกของปี ตามการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐจากวัฏจักรดอกเบี้ยขาลงต่อเนื่องตลอดทั้งปี ความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอิสระของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) รวมถึงปัจจัยเสี่ยงด้านเศรษฐกิจและวินัยทางการคลังของสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี แนวโน้มการแข็งค่าของเงินบาทอาจมีค่อนข้างจำกัดจากความเปราะบางด้านปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนทางการเมือง ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างค่าเงินบาทกับราคาทองคำในตลาดโลกที่ลดลงอย่างมีนัย โดยเฉพาะหลังจากที่ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ส่งสัญญาณเข้ามากำกับดูแลธุรกรรมทองคำอย่างใกล้ชิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เงินบาทมีจังหวะผันผวนและอ่อนค่าได้เพิ่มเติมในปีหน้า

“ท่องเที่ยว-ลงทุน” ยังเป็นความหวังหลัก แต่เพดานฟื้นตัวเริ่มจำกัดขึ้น
 
ภาคท่องเที่ยวจะยังคงเป็นตัวแปรที่สำคัญ แต่เริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น โดย ttb analytics คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 2569 จะอยู่ที่ประมาณ 34.5 ล้านคน หรือเติบโต 4.5% จากปีก่อน จากตลาดนักท่องเที่ยวในกลุ่มอินเดีย รัสเซีย และยุโรปที่คาดว่าจะยังขยายตัวได้ สวนทางกับตลาดนักท่องเที่ยวหลัก (อาทิ จีน อาเซียน และเกาหลีใต้) ที่ยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งจากความสามารถในการดึงดูดการท่องเที่ยวของไทยลดลงเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน นอกจากนี้ มิติของรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่าจะเติบโตเพียง 4% โดยค่าใช้จ่ายเฉลี่ยต่อคนต่อทริปยังต่ำกว่าปี 2562 จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว ยิ่งกว่านั้น รายได้จากนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้เพิ่มขึ้นตามสัดส่วนเดียวกับจำนวนนักท่องเที่ยว ข้อจำกัดของการขยายตัวทางเศรษฐกิจจากภาคบริการที่กระจุกอยู่ในพื้นที่เศรษฐกิจเมืองและภูมิภาคท่องเที่ยวหลัก เป็นจุดสะท้อนเพดานการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวที่จำกัดลงได้อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยอย่างฉับพลันในพื้นที่ภาคใต้ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคมที่ผ่านมา ttb analytics ประเมินความเสียหายต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการค้าและการท่องเที่ยวจะอยู่ที่ราว 1.4-2.7 หมื่นล้านบาทหรือ 0.07%-0.14% ต่อจีดีพี ภายใต้กรอบระยะเวลาที่ได้รับผลกระทบและการฟื้นฟูเศรษฐกิจ 1 ไตรมาส (ซึ่งความเสียหายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงเดือนธันวาคม 2568) อีกทั้งยังกระทบต่อรายได้ของภาคธุรกิจทั้งหมดในพื้นที่น้ำท่วมราว 8.2 แสนล้านบาท ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ศูนย์กลางการค้าและการท่องเที่ยวหลักของหลายอำเภอในจังหวัดสงขลาช่วงเทศกาลท่องเที่ยว อีกทั้งยังส่งผลทางอ้อมต่อการตั้งเป้าหมายเม็ดเงินที่จะหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจในช่วงที่มีการจัดงานซีเกมส์ในสนามหลายแห่งในเมืองสงขลาและหาดใหญ่ โดยเฉพาะการเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียซึ่งคิดเป็นเกือบครึ่งหนึ่งของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่มาเยือนจังหวัดสงขลา

สำหรับมิติของการลงทุนจากต่างชาติยังมีความท้าทายสูง แม้ที่ผ่านมาความต้องการลงทุนจากต่างชาติเพิ่มขึ้นอย่างมีนัย สะท้อนจากมูลค่าการขอรับส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในปี 2567 และ 9 เดือนแรกของปี 2568 ที่แตะระดับ 1 ล้านล้านบาทอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในรอบหลายปีและเติบโตอย่างมีนัยเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 แต่รูปแบบความต้องการลงทุนกลับไม่ได้กระจายไปสู่กลุ่มอุตสาหกรรมดั้งเดิมที่มีห่วงโซ่การผลิตยาวหรืออุตสาหกรรมที่เน้นการผลิตจำนวนมาก (Mass Production) ซึ่งสามารถสร้างแรงกระเพื่อมต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการจ้างงานในวงกว้างอย่างที่เคยเป็นมา (เช่น ปิโตรเคมี การผลิตยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน เครื่องใช้ไฟฟ้า) แต่กลับมุ่งเป้าลงทุนในอุตสาหกรรมกลุ่มเทคโนโลยีขั้นสูงและอุตสาหกรรมดิจิทัล ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมการให้บริการด้านเทคโนโลยีที่ยังมีห่วงโซ่การผลิตในประเทศค่อนข้างสั้น อาทิ ศูนย์ข้อมูล (Data Center) โครงสร้างพื้นฐานด้านคลาวด์ (Cloud Infrastructure) และ AI เป็นต้น

โจทย์ท้าทายที่สำคัญของประเทศไทยคือ การยกระดับห่วงโซ่การผลิตอุตสาหกรรมดั้งเดิมให้เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลกผ่านการเพิ่มกฎเกณฑ์ด้านถิ่นกำเนิด (Local Content / RVC) เพื่อสร้างแรงจูงใจการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งระบบห่วงโซ่การผลิต (System-level Incentive) รวมถึงการเปลี่ยน “มูลค่าการขอรับการสนับสนุนการลงทุนอุตสาหกรรมใหม่” ให้กลายเป็น “มูลค่าการลงทุนจริง” ภายในระยะ 1-3 ปีข้างหน้า โดยเฉพาะการสร้างความพร้อมด้านทักษะแรงงาน ความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และความชัดเจนด้านนโยบายภาษีและกฎระเบียบในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ 

โดยสรุป ปี 2569 ถือเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความจริงมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา การเติบโตของเศรษฐกิจในระดับ 2% ต่อปีจะกลายเป็นภาพสะท้อนของดุลยภาพใหม่ในยุคที่เศรษฐกิจโตช้าลง (A New Balance of Lower Growth) ซึ่งสะท้อนความเปราะบางของปัจจัยเชิงโครงสร้าง ภาระหนี้สูงรอบด้าน และแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่กระจุกตัวในบางภาคส่วนในรูปแบบ K-Shape ที่รุนแรงมากขึ้น 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 11 ธ.ค. 2568 เวลา : 15:54:30
12-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำลาดกระบัง

2. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสิรินธร

3. ตลาดหุ้นปิด (11 ธ.ค.68) ลบ 16.33 จุด ดัชนี 1,253.54 จุด

4. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (11 ธ.ค.68) ลบ 14.54 จุด ดัชนี 1,255.33 จุด

5. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (10 ธ.ค.68) ร่วง 11.50 ดอลลาร์ ก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟดลดดอกเบี้ย

6. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (10 ธ.ค.68) พุ่ง 497.46 จุด รับเฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (11 ธ.ค.68) ภาคใต้มีฝนเพิ่มขึ้น 40-60% ตกหนักหลายพื้นที่ ภาคตะวันออก 30% กรุงเทพปริมณฑล-ภาคอีสาน 20% ภาคกลาง 10%

8. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (11 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ที่ระดับ 31.73 บาทต่อดอลลาร์

10. ตลาดหุ้นไทยเปิด (11 ธ.ค.68) บวก 3.64 จุด ดัชนี 1,273.51 จุด

11. ทองเปิดตลาดวันนี้ (11 ธ.ค.68) ปรับขึ้น 300 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,350 บาท

12. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,200-4,180 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,250-4,280 เหรียญ

13. ตลาดหุ้นปิด (9 ธ.ค.68) บวก 8.48 จุด ดัชนี 1,269.87 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (9 ธ.ค.68) บวก 3.83 จุดดัชนี 1,265.22 จุด

15. MTS Gold คาดราคาทองคำเคลื่อนตัวเข้าสู่ช่วงปลายของกรอบแคบ รอการเลือกทาง "Breakout" แนวรับที่ 4,180-4,160 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,230-4,260 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 12, 2025, 7:42 am