เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "Palm oil industry ANALYSIS and outlook แนวโน้มอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม"


 

SCB EIC คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน จากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ตามเนื้อที่ให้ผลและผลผลิตต่อไร่ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและปริมาณฝนที่เพียงพอ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกจะเพิ่มขึ้น จากผลผลิตโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง (สินค้าทดแทนน้ำมันปาล์ม) ที่มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ยังเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก ทั้งนี้แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ  แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก  สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน โดยเป็นผลมาจากปริมาณการส่งออกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตส่วนเกิน ประกอบกับความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลและเพื่อบริโภคในประเทศจะเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตาความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าทดแทน การเปลี่ยนแปลงนโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง ซึ่งจะกระทบต่อความต้องการบริโภค ผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบ  
 
อนึ่ง อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มกำลังเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน โดยในปัจจุบันอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีกำลังการผลิตเพื่อแปรรูปปาล์มน้ำมันสูงกว่าผลผลิตปาล์มน้ำมันราว 1 เท่า ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนการผลิตต่อหน่วยลง นอกจากนี้ ราคาน้ำมันปาล์มที่ผันผวนสูงและผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการแข่งขันกันพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคาและมุ่งสู่ความยั่งยืน โดยบริษัทที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

Industry overview
 
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีผู้เกี่ยวข้องที่หลากหลาย โดยความไม่แน่นอนของนโยบาย
ที่เกี่ยวข้องกับปาล์มน้ำมันและสภาพอากาศที่แปรปรวน เป็นความท้าทายสำคัญของอุตสาหกรรม ทั้งนี้ ในปี 2025 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มขยายตัวสอดคล้องกับที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรก (เม.ย.) 
 
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเป็นอุตสาหกรรมแปรรูปสินค้าเกษตรที่สำคัญของไทย โดยอุตสาหกรรมนี้มีความเชื่อมโยงกับเกษตรกรต้นน้ำในระดับสูง เนื่องจากปริมาณผลปาล์มน้ำมันที่เกษตรกรเก็บเกี่ยวได้ จะกระทบต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบที่โรงงานผลิตได้ ซึ่งในปี 2024 ไทยมีผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 3.3 ล้านตัน และมีสต็อกยกมาจากปี 2023 จำนวน 0.3 ล้านตัน คิดเป็นผลผลิตที่ได้รวม 3.6 ล้านตัน โดยผลผลิตที่ได้โดยส่วนใหญ่ราว 69.9% หรือ 2.5 ล้านตันจะใช้ในประเทศ ทั้งการนำไปกลั่นให้กลายเป็นน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันโอเลอินจำนวน 1.5 ล้านตัน (57.7% ของการใช้ในประเทศ) และการนำไปใช้ผลิตไบโอดีเซล 1.1 ล้านตัน (42.3% ของการใช้ในประเทศ) โดยน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์จะถูกนำไปใช้เป็นน้ำมันทอดในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ส่วนน้ำมันโอเลอินจะถูกนำไปใช้บริโภคในภาคครัวเรือน โดยความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มในประเทศจะขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจและส่วนต่างราคาน้ำมันปาล์มและราคาน้ำมันพืชชนิดอื่น ๆ เช่น ถั่วเหลือง ในขณะที่ความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมไบโอดีเซลจะขึ้นอยู่กับนโยบายกำหนดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลของภาครัฐเป็นหลัก สำหรับผลผลิตที่ได้อีก 24.5% หรือ 0.9 ล้านตัน จะถูกใช้เพื่อส่งออก โดยในปี 2024 มูลค่าการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอยู่ที่ 26,297 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนการส่งออกไปอินเดียคิดเป็น 98.8% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด ซึ่งในการส่งออก ไทยจะต้องเผชิญการแข่งขันกับผู้ส่งออกรายใหญ่อย่างอินโดนีเซีย (ปี 2024 ส่งออก 22.3 ล้านตัน) และมาเลเซีย (ปี 2024 ส่งออก 16.5 ล้านตัน) ที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย ทำให้ภาครัฐต้องอุดหนุนส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ กิโลกรัมละ 2 บาท ในช่วงที่ผลผลิตเกินความต้องการบริโภคในประเทศจนทำให้ระดับสต็อกน้ำมันปาล์มดิบในประเทศสูงกว่า 0.3 ล้านตัน ทั้งนี้ผลผลิตที่ได้อีก 5.6% จะเหลือเก็บไว้เป็นสต็อกในประเทศ 

รูปที่ 1 : โครงสร้างธุรกิจน้ำมันปาล์ม  
 
 

 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของบริษัทน้ำมันปาล์มในตลาดหลักทรัพย์  

ในช่วงปี 2022-2024 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มต้องเผชิญกับความท้าทายจากความไม่แน่นอนของนโยบายพลังงานทางเลือกของภาครัฐ ความไม่แน่นอนด้านการดำเนินนโยบายน้ำมันปาล์มของอินโดนีเซียและปัญหาภัยแล้ง โดยในปี 2022 ปริมาณการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซลหดตัวสูงถึง 19.8%YOY จากการที่ภาครัฐมีนโยบายปรับสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซล (B100) ลงจาก B7, B10 และ B20 มาอยู่ที่ B5 (ผสมไบโอดีเซล 5 ส่วน ต่อน้ำมันดีเซล 95 ส่วน) เพื่อลดต้นทุน B100 ที่สูง และต่อมาปรับเป็น B7 (ม.ค. 2023 - ต.ค. 2024) ก่อนลดลงเป็น B5 อีกครั้งตั้งแต่ พ.ย. 2024 ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายดังกล่าว ส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิต B100 มีความไม่แน่นอนสูงและยังอยู่ในระดับต่ำ เมื่อเทียบกับช่วงก่อนเปลี่ยนแปลงนโยบายในปี 2021 นอกจากนี้ นโยบายควบคุมการส่งออกของอินโดนีเซีย (ผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 1 ของโลก) ทำให้ราคาผันผวนรุนแรง โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 อินโดนีเซียมีนโยบายควบคุมการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ ส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ที่ 53.2 บาทต่อกิโลกรัม แตกต่างจากช่วงครึ่งปีหลัง ที่ราคาโดยเฉลี่ยปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 33.9 บาทต่อกิโลกรัม หรือปรับตัวลดลงสูงถึง 36.2% เนื่องจากอินโดนีเซียมีการยกเลิกนโยบายควบคุมการส่งออก โดยราคาที่ผันผวนรุนแรงสร้างความท้าทายต่อการบริหารสินค้าคงคลังของผู้ประกอบการไทย ส่วนปัญหาภัยแล้งที่เกิดขึ้นในปี 2023 มีส่วนทำให้ปริมาณผลผลิตปาล์มน้ำมันปรับตัวลดลง 4.5%YOY 

สำหรับปี 2025 อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มมีแนวโน้มขยายตัวสอดคล้องกับที่ SCB EIC คาดการณ์ไว้ในรายงานฉบับแรก (เม.ย.) โดยมีปัจจัยหนุนจากผลผลิตและราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น แม้ความต้องการบริโภคจะลดลง โดยผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 9.5%YOY ส่งผลให้ทั้งปีผลผลิตมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น 6.3%YOY มาอยู่ที่ 3.5 ล้านตัน สอดคล้องกับปริมาณผลผลิตผลปาล์มน้ำมันสดที่มีแนวโน้มอยู่ที่ 19.5 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 4.8%YOY ตามปริมาณน้ำฝนที่มากกว่าปกติ ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 8.8%YOY มาอยู่ที่ 36.9 บาท/กิโลกรัม โดยทั้งปีคาดว่าราคาจะอยู่ที่ 36.4 บาท/กิโลกรัม ปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.5%YOY เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกมีแนวโน้มลดลง จากความต้องการบริโภคโลกที่จะปรับตัวเร่งขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากรัฐบาลใหม่ของอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันปาล์มดิบอันดับ 1 ของโลกประกาศเพิ่มสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลจาก B35 เป็น B40 ในปี 2025 สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2025 ปรับตัวลดลง 0.6%YOY ส่งผลให้ทั้งปีอุปสงค์มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 1.1%YOY  จากความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลที่จะปรับตัวลดลง ตามนโยบายลดสัดส่วนการผสมไบโอดีเซลของภาครัฐ
 
Industry outlook and trend
 
SCB EIC คาดว่าอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มในปี 2026 มีแนวโน้มกลับมาหดตัว จากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่มีแนวโน้มปรับตัวลดลง แม้ผลผลิตและความต้องการบริโภคจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบปี 2026 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.54 ล้านตัน (+1.8%YOY) ตามผลผลิตปาล์มน้ำมันที่เพิ่มขึ้นเป็น 19.9 ล้านตัน จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกในปี 2023 ที่เริ่มให้ผลผลิตในปีนี้ ประกอบกับผลผลิตต่อไร่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของปาล์มน้ำมัน (รูปที่ 2) ในขณะที่ราคาน้ำมันปาล์มดิบไทยโดยเฉลี่ยในปี 2026 จะปรับตัวลดลง 6.8%YOY มาอยู่ที่ 33.9 บาท/กิโลกรัม ตามราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกที่มีแนวโน้มลดลง เนื่องจากสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากผลผลิตปาล์มน้ำมันโลกที่มีแนวโน้มเติบโตดี ตามสภาพอากาศที่เอื้ออำนวย โดยเฉพาะในมาเลเซียที่ปัญหาภัยแล้งเริ่มคลี่คลาย นอกจากนี้ ราคาน้ำมันถั่วเหลือง ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน มีแนวโน้มลดลงในปี 2026 ยังเป็นอีกปัจจัยที่จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลก (รูปที่ 3) ทั้งนี้ แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่จะได้รับผลกระทบทางอ้อม จากนโยบายภาษีตอบโต้ของทรัมป์ ผ่านการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยกดดันราคาน้ำมันปาล์มโลก (รูปที่ 4) สำหรับอุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3.42 ล้านตัน (+2.8%YOY) ตามความต้องการใช้เพื่อผลิตไบโอดีเซลที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น มาอยู่ที่ 0.87 ล้านตัน จากการใช้น้ำมันดีเซลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่ความต้องการบริโภคในประเทศมีแนวโน้มขยายตัว 1.2%YOY มาอยู่ที่ 1.50 ล้านตัน ตามการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ส่วนปริมาณการส่งออกคาดว่าจะอยู่ที่ 1.05 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 5.0%YOY จากผลผลิตส่วนเกินในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยความต้องการบริโภคที่ต่ำกว่าผลผลิตจะทำให้สต็อกน้ำมันปาล์มดิบปลายปี 2026 เพิ่มขึ้นเป็น 0.47 ล้านตัน จาก 0.35 ล้านตันในปี 2025

รูปที่ 2 : ปริมาณผลปาล์มสดของไทยในปี 2026 มีแนวโน้มอยู่ที่ 19.9 ล้านตัน ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.8%YOY ตามเนื้อที่ให้ผลที่เพิ่มขึ้น จากการขยายพื้นที่เพาะปลูก 
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา, สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร และ IRI
 
รูปที่ 3 : ราคาน้ำมันปาล์มดิบในปี 2026 มีแนวโน้มปรับตัวลดลง 6.9%YOY จาก 1) แรงกดดันของสต็อกน้ำมันปาล์มดิบโลกที่เพิ่มขึ้น และ 2) ราคาน้ำมันถั่วเหลืองมีแนวโน้มลดลง
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของกรมการค้าภายใน, USDA และ World Bank  

รูปที่ 4 : แม้ไทยจะไม่ได้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มไปสหรัฐฯ แต่เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง จะกดดันราคาน้ำมันปาล์มในตลาดโลก โดยเริ่มเห็นผลกระทบอย่างชัดเจนจากราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกที่ปรับตัวลดลง
 
 
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Trademap, Bloomberg และ CEIC
 
อนึ่ง การเติบโตของอุตสาหกรรมปาล์มน้ำมันในปี 2026 ยังต้องเผชิญความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ ราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก นโยบายพลังงานทางเลือกของไทยและอินโดนีเซีย และสภาพภูมิอากาศที่ผันผวนรุนแรง โดยภาวะเศรษฐกิจและราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลก จะกระทบต่อความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์ม ซึ่งหากเศรษฐกิจโลกและไทยมีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่ชะลอลงกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากผลกระทบของนโยบายทรัมป์ 2.0 ที่รุนแรงกว่าคาด และราคาน้ำมันถั่วเหลืองโลกลดลงมากกว่าคาด ก็จะส่งผลให้ความต้องการบริโภคน้ำมันปาล์มเติบโตต่ำกว่าที่ประเมินไว้ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบโลกและไทยอาจลดลงมากกว่าคาด ในขณะที่นโยบายพลังงานทางเลือกของไทย จะกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมันปาล์มดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซล โดยหากภาครัฐมีนโยบายปรับสูตรผสมน้ำมันไบโอดีเซลไปอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า B5 ก็จะส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวลดลงได้ นอกจากนี้ หากรัฐบาลอินโดนีเซียเริ่มบังคับใช้นโยบาย B50 (ปัจจุบัน B40) เร็วกว่าที่วางแผนไว้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 จนทำให้อินโดนีเซียส่งออกน้ำมันปาล์มได้น้อยลงหรือมีนโยบายควบคุมการส่งออก ก็จะส่งผลให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบในตลาดโลกพลิกกลับมาขยายตัว และทำให้ราคาน้ำมันปาล์มดิบของไทยปรับตัวเพิ่มขึ้น สวนทางกับที่คาดการณ์ไว้ ส่วนความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศและปัญหาภัยพิบัติทางธรรมชาติ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบ โดยหากไทยเผชิญภัยแล้งหรือน้ำท่วม ผลผลิตน้ำมันปาล์มดิบอาจเพิ่มขึ้นต่ำกว่าคาด หรืออาจลดลง
 
ในระยะต่อไป อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มยังต้องเผชิญกับความท้าทายจากนโยบายและมาตรการเพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ และกระแสความยั่งยืน โดยมาตรการต่าง ๆ 
ในอนาคต เช่น การเก็บภาษีคาร์บอนทั้งในและต่างประเทศ จะทำให้ต้นทุนในการดำเนินธุรกิจน้ำมันปาล์มปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่เมกะเทรนด์ความยั่งยืน (Sustainability) จะทำให้ผู้บริโภคหรืออุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบมีแนวโน้มที่จะหันมาให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคมและธรรมาภิบาลมากขึ้นในอนาคต ซึ่งกฎระเบียบว่าด้วยสินค้าที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่าของสหภาพยุโรป (EUDR) ที่จะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 30 ธ.ค. 2025 
 
เป็นตัวอย่างความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นจากกระแสความยั่งยืน โดย EUDR กำหนดให้ผู้ประกอบการที่ส่งสินค้าน้ำมันปาล์มไปยังตลาด EU จะต้องมีการตรวจสอบย้อนกลับแหล่งที่มาของวัตถุดิบว่าจะต้องมาจากพื้นที่ปลอดจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการไทยเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยคว้าส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU เพิ่มขึ้น เนื่องจาก EU จัดไทยอยู่ในกลุ่ม “เสี่ยงต่ำ” 
 
จากปัญหาการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ผู้นำเข้าสินค้าน้ำมันปาล์มจากไทยไปยัง EU จะได้รับสิทธิพิเศษ ในการไม่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ (Due diligence) ในทุกขั้นตอน กล่าวคือ ผู้นำเข้าจะต้องดำเนินการเฉพาะในขั้นตอนที่ 1 เก็บรวบรวมข้อมูล แต่ไม่ต้องดำเนินการในขั้นตอนที่ 2 ประเมินความเสี่ยงและขั้นตอนที่ 3 
 
ลดความเสี่ยงในกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความซับซ้อนและมีต้นทุนสูง โดยต้นทุนการนำเข้าจากไทยที่ต่ำกว่าการนำเข้าจากอินโดนีเซียและมาเลเซียที่ต้องดำเนินการตามกระบวนการตรวจสอบย้อนกลับทุกขั้นตอน จะช่วยให้ความสามารถในการแข่งขันของไทยดีขึ้น และเปิดโอกาสให้ไทยเพิ่มส่วนแบ่งตลาดน้ำมันปาล์มใน EU จากในปี 2024 ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 0.3% (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมในบทความ EU จัดไทยอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำด้านการตัดไม้ทำลายป่า หนุนโอกาสส่งออก ‘ยางพารา-ปาล์มน้ำมัน’ สู่ตลาดยุโรป ) 

Competitive landscape
 
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเผชิญปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน โดยผู้เล่นจะเน้นแข่งขันกัน
ในด้านการจัดหาวัตถุดิบ ลดต้นทุน บริหารความเสี่ยงด้านราคาและมุ่งสู่ความยั่งยืน 
 
อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของไทยมีปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการกลางน้ำของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มขยายกำลังการผลิตอย่างมาก ตัวอย่างเช่น ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีการเพิ่มกำลังการผลิตจาก 105 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 2007 มาอยู่ที่ 340 ตันผลปาล์มสดต่อชั่วโมงในปี 2023 พร้อมกันนั้น อุปสรรคในการเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่อยู่ในระดับต่ำ ส่งผลให้จำนวนโรงสกัดน้ำมันปาล์มเพิ่มขึ้นจาก 43 โรงงานในปี 2003 มาอยู่ที่ 120 โรงงานในปี 2024 ในขณะที่โรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นจาก 13 โรงงานมาอยู่ที่ 22 โรงงานในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นกลางน้ำที่ไม่สอดคล้องกับการขยายพื้นที่เพาะปลูกของเกษตรกรต้นน้ำ ทำให้เกิดภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน สะท้อนได้จากข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม 
ที่ชี้ให้เห็นว่า ในช่วงปี 2021 - 2024 อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบโดยเฉลี่ยอยู่ที่ราว 55.3% และ 38.0% ตามลำดับ ซึ่งต่างจากมาเลเซีย (ข้อมูลจากคณะกรรมการน้ำมันปาล์มมาเลเซีย (MPOB)) ที่อัตราการใช้กำลังการผลิตของโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มดิบในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 61.4% และ 61.4% ตามลำดับ 
 
ผู้ประกอบการจะเน้นแข่งขันในด้านการจัดหาวัตถุดิบ การลดต้นทุนการผลิต การบริหารความเสี่ยงด้านราคาและการมุ่งสู่ความยั่งยืน ภาวะกำลังการผลิตส่วนเกิน ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันกันจัดหาผลปาล์มน้ำมันมาป้อนโรงงานให้ได้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยลง โดยผู้ประกอบการจะใช้กลยุทธ์ด้านราคาและสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร เพื่อดึงดูดให้เกษตรกรนำผลปาล์มสดมาขายให้โรงงาน พร้อมกันนั้น ผู้ประกอบการก็มีการแข่งขันกันลดต้นทุนการผลิต ผ่านการขยายกำลังการผลิต เพื่อใช้ประโยชน์จากการประหยัดจากขนาด (Economy of scale) และเน้นพัฒนาความสามารถในการจัดการความเสี่ยงด้านราคา ผ่านการบริหารจัดการสต็อก นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดยังมีการแข่งขันในด้านการมุ่งสู่ความยั่งยืน เช่น การลดการใช้น้ำ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การปฏิบัติตามมาตรฐานและกฎระเบียบด้านความยั่งยืน เป็นต้น ดังนั้น ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่สามารถสร้างสัมพันธ์ที่ดีกับเกษตรกร สามารถจัดการความเสี่ยงด้านราคาได้ดี มีต้นทุนการผลิตต่ำ และมีการดำเนินธุรกิจที่ตอบโจทย์ความยั่งยืน ทั้งในมิติสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล จะประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้และเติบโตได้อย่างยั่งยืน
 
ทั้งนี้ในปี 2024 บริษัทน้ำมันปาล์ม 10 อันดับแรกมีส่วนแบ่งรายได้รวม 41.2% ของรายได้ทั้งหมดในหมวดธุรกิจการผลิตน้ำมันปาล์ม โดยจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า ยูนิวานิชน้ำมันปาล์ม มีส่วนแบ่งรายได้มากเป็นอันดับ 1 ที่ 7.5% ตามมาด้วย พีพีพี กรีน คอมเพล็กซ์ (5.6%), ล่ำสูง (4.8%), ไทยทาโลว์แอนด์ออยล์ (3.9%), สุขสมบูรณ์น้ำมันปาล์ม (3.6%), กลุ่มสมอทอง (3.6%), เอส.พี.โอ.อะโกรอินดัสตรี้ส์ (3.3%), ชุมพรอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม (3.1%), กลุ่มปาล์มธรรมชาติ (3.0%) และธนาปาล์มโปรดักส์ (2.8%)  โดยในระยะต่อไป คาดว่าส่วนแบ่งรายได้จะกระจุกตัวอยู่ที่บริษัทขนาดใหญ่มากขึ้น เนื่องจากมีการขยายกำลังการผลิตของผู้เล่นรายใหญ่ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตของผู้ผลิตรายใหญ่ปรับตัวลดลง ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการขนาดเล็กแข่งขันได้ยากและทยอยออกจากตลาด 

ภาคผนวก
 
ตารางที่ 1 : ภาพรวมผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน หมวดธุรกิจน้ำมันปาล์ม                                     
 
                
 
ที่มา : การวิเคราะห์โดย SCB EIC จากข้อมูลของ Bloomberg และ SET 
 
 
 
 
ดร.เกียรติศักดิ์ คำสี นักวิเคราะห์อาวุโส  ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 12 ธ.ค. 2568 เวลา : 14:28:18
12-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. MTS Gold คาดราคาทองคำเข้าสู่รูปแบบ "Sideway Up" ขณะที่วันนี้ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,250-4,230 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,300-4,320 เหรียญ

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (12 ธ.ค.68) บวก 0.29 จุด ดัชนี 1,253.83 จุด

3. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (11 ธ.ค.68) พุ่ง 88.30 ดอลลาร์ ขานรับเฟดลดดอกเบี้ย

4. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (11 ธ.ค.68) พุ่งทำนิวไฮ บวก 646.26 จุด รับเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยอีก

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (12 ธ.ค.68) ภาคใต้ มีฝนเพิ่มขึ้น 70% กับมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ ส่วนประเทศไทยตอนบนอากาศเย็นในตอนเช้าและมีฝน 10-20% บางพื้นที่

6. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.55-31.80 บาท/ดอลลาร์

7. ตลาดหุ้นไทยเปิด (12 ธ.ค.68) บวก 1.32 จุด ดัชนี 1,254.86 จุด

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (12 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 500 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 64,750 บาท

9. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (12 ธ.ค.68) แข็งค่าขึ้น ที่ระดับ 31.63 บาทต่อดอลลาร์

10. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล สถานีสูบจ่ายน้ำลาดกระบัง

11. ประกาศ กปน.: 16 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนสิรินธร

12. ตลาดหุ้นปิด (11 ธ.ค.68) ลบ 16.33 จุด ดัชนี 1,253.54 จุด

13. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (11 ธ.ค.68) ลบ 14.54 จุด ดัชนี 1,255.33 จุด

14. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (10 ธ.ค.68) ร่วง 11.50 ดอลลาร์ ก่อนตลาดรู้ผลประชุมเฟดลดดอกเบี้ย

15. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (10 ธ.ค.68) พุ่ง 497.46 จุด รับเฟดลดดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 12, 2025, 4:01 pm