เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
Scoop : จับตา กนง. คาดลดดอกเบี้ยต่อเหลือ 1.00% ปี 69 เข้าพยุงเศรษฐกิจไทย


มติเอกฉันท์ สำหรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ต่อปี เพื่อเข้าพยุงเศรษฐกิจไทย จากการชะลอตัวลงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ไปจนถึงปี 2569 ที่มีแนวโน้มเติบโตเพียง 1.5% ซึ่งทางสถาบันการเงินของไทยต่างคาดการณ์กันว่า ทาง กนง. จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่ออีก 1 ครั้ง ลงสู่ระดับ 1.00% ภายในช่วงครึ่งแรกของปีหน้าที่จะถึงนี้
 
เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 2568  นายสักกะภพ พันธ์ยานุกูล เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) แถลงผลการประชุม กนง. ที่คณะกรรมการฯ มีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 1.50 เป็นร้อยละ 1.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันที  ซึ่งถือว่าเป็นการปรับลดครั้งที่ 4 ที่ลดดอกเบี้ยรวมแล้ว 1.00% ของปีนี้ เนื่องจากในช่วงปี 2568 การบริโภคภาคเอกชนมีการชะลอตัวตามแนวโน้มรายได้ที่ลดลง รวมถึงภาคการส่งออกที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการทางภาษีของสหรัฐฯ ส่วนด้านสินเชื่อรวมยังหดตัวและคุณภาพสินเชื่อกลุ่มเปราะบางยังด้อยลง ส่งผลให้ SMEs ที่เป็นแหล่งจ้างงานกว่า 70% ของไทยขาดสภาพคล่องจากปัญหาของการเข้าถึงสินเชื่อและค่าเงินบาทที่แข็งค่า
 
โดยทาง Krungsri Research หรือวิจัยกรุงศรี มีการรายงานว่า GDP ไทยในไตรมาส 3 ของปี 2568 มีการหดตัวเป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 3 ปี สะท้อนถึงการสูญเสียแรงส่งทางเศรษฐกิจ ภาคธุรกิจและครัวเรือนยังเผชิญกับภาระหนี้สูง รวมถึงสินเชื่อภาคเอกชนที่หดตัวต่อเนื่อง แม้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะได้แรงหนุนระยะสั้นจากมาตรการกระตุ้นของรัฐ เช่น โครงการคนละครึ่งพลัส และเที่ยวดีมีคืน แต่ผลบวกดังกล่าวถูกลดทอนไปบางส่วนจากผลกระทบของอุทกภัยในภาคใต้ ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ทางการเมืองที่เข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านจากการยุบสภาของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. ที่ทำให้การผลักดันมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมเกิดข้อจำกัด รวมถึงการอนุมัติและการเบิกจ่ายงบลงทุนสำหรับโครงการใหม่ของภาครัฐ ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจโดยรวมมีแนวโน้มแผ่วลง และยังอาจลดทอนศักยภาพในการดำเนินนโยบายด้านการทูตและการเจรจาการค้า
 
ขณะที่ทาง Kresearch หรือศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้เปิดเผยถึง 3 ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจในช่วงปีหน้า ได้แก่ 1. ผลกระทบจากน้ำท่วมภาคใต้ ที่ความเสียหายยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว และต้องใช้แหล่งเงินทุนเพิ่มเติมทั้งจากทางภาครัฐและเอกชนในการเยียวยา 2.ความตึงเครียดชายแดนระหว่างไทย-กัมพูชา ซึ่งหลังจากการปิดด่าน การค้าชายแดน ลดลงเกือบ 100% ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจบริเวณดังกล่าวที่ไทยเกินดุลการค้าได้รับผลกระทบอย่างมาก และ 3.การยุบสภา จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2569 ซึ่งเป็นภาวะที่นโยบายการคลังทำงานไม่เต็มที่ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง
 
ส่วนทางด้านของ SCB EIC หรือ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ ประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2569 ว่า จะยังอยู่ในช่วงของการชะลอตัวลงต่อ ด้วยอัตราการเติบโตที่ 1.5% ชะลอลงจากปีนี้ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าโตต่ำสุดในรอบ 30 ปี เลยทีเดียว เนื่องมาจากทั้งปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ อย่างการส่งออกที่คาดการณ์ว่าจะติดลบประมาณ 1.5% ในปี 2569 (จากที่ปีนี้ขยายตัว 10.8%) เนื่องจากมาตรการภาษีของทรัมป์ที่ทำให้การค้าโลกปั่นป่วน การท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้า กำลังซื้อครัวเรือนที่จำกัด การใช้จ่ายอุปโภคบริโภคของภาคครัวเรือน รวมถึงการจ้างงานที่ลดลง โดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ ขณะที่การลงทุนโดยรวมก็ยังดูซบเซา ซึ่งเมื่อผนวกกับข้อจำกัดทางการคลังที่รัฐบาลต้องระมัดระวังเรื่องหนี้สาธารณะ และการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ทำให้นโยบายทางการเงินอาจจำเป็นต้องมีบทบาทมากขึ้นเพื่อประคับประคองเศรษฐกิจเอาไว้ และปฏิรูปปัจจัยเชิงโครงสร้างทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป เพื่อไม่ให้อัตราการเติบโตที่ต่ำกว่า 2% กลายเป็นมาตรฐานใหม่ของ GDP ไทย
 
ซึ่งทั้งสามศูนย์วิจัยสถาบันการเงินดังกล่าวนี้ ต่างคาดการณ์เห็นพ้องไปในทิศทางเดียวกันว่า นอกจากที่ กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.25% สู่ระดับ 1.25% ต่อปี ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้แล้ว กนง. มีโอกาสที่จะปรับดอกเบี้ยต่ออีก 1 ครั้ง ภายในครึ่งแรกของปี 2569 ลงอีก 0.25% สู่ระดับ 1.00% เพื่อช่วยผ่อนคลายภาระการเงิน ของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจท่ามกลางความเสี่ยงจากปัจจัยข้างต้น รวมถึงความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกในปีหน้า โดยทางด้านนายยรรยง ไทยเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานวิจัยเศรษฐกิจและความยั่งยืน ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) เปิดเผยถึงมุมมองของการลดดอกเบี้ยว่า จะไม่กระทบกับประเด็นของหนี้ครัวเรือนที่อาจกลับมาสูง เนื่องจากสถาบันการเงินอยู่ในโหมดระมัดระวัง ส่วนภาคครัวเรือนก็ไม่ได้อยากก่อหนี้ถ้าไม่จำเป็น แต่ประเด็นสำคัญกว่านั้นคือ การลดดอกเบี้ยจะสามารถช่วยลดภาระหนี้ให้กับครัวเรือนและ SMEs ได้มากน้อยแค่ไหนมากกว่า ซึ่งเป็นไปได้ว่า ทาง กนง. จะมีกรอบที่สามารถลดดอกเบี้ยลงมาถึงอัตราที่ 1.00% ในปี 2569 ได้
 
ส่วนความเป็นไปได้ที่ กนง. จะลดดอกเบี้ยต่ำกว่า 1.00% ในปีหน้านั้น นายยรรยงได้แชร์มุมมองต่อว่า ต้องชั่งน้ำหนักถึงความเหมาะสมของสถานการณ์เศรษฐกิจตามช่วงเวลา เพราะการจะตัดสินใจลดดอกเบี้ย จำเป็นต้องเปรียบเทียบผลบวกกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้ หากลดดอกเบี้ยลงไปต่ำมาก ๆ อาจทำให้ความตั้งใจที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นผลลัพธ์ที่เกิดในทางกลับกัน เนื่องจากคนจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะผู้สูงอายุมีการพึ่งพารายได้จากอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก ฉะนั้นถ้ารายได้ของดอกเบี้ยที่ลดลง ก็อาจจะกระทบต่อความสามารถในการใช้จ่ายที่ลดลงของคนกลุ่มนี้ได้เช่นกัน

LastUpdate 17/12/2568 19:46:29 โดย : Admin
18-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ประกาศ กปน.: 22 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนอ่อนนุช (ซอยสุขุมวิท 77)

2. ตลาดหุ้นปิด (8 ธ.ค.68) ลบ 6.78 จุด ดัชนี 1,250.07 จุด

3. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (18 ธ.ค.68) ลบ 4.78 จุด ดัชนี 1,252.07 จุด

4. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงรักษาแนวโน้มหลักเป็นขาขึ้น ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,310-4,290 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,360-4,380 เหรียญ

5. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (17 ธ.ค.68) ร่วง 228.29 จุด กังวลแนวโน้มธุรกิจ AI

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (17 ธ.ค.68) บวก 41.60 ดอลลาร์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย-เก็งเฟดลดดอกเบี้ยต่อ

7. พยากรณ์อากาศวันนี้ (18 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนอากาศเย็นถึงหนาวในตอนเช้า อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา, ภาคใต้ฝนลดลง แต่ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง 30-40%

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (18 ธ.ค.68) บวก 0.47 จุด ดัชนี 1,257.32 จุด

9. ธนาคารไทยพาณิชย์ ประเมินค่าเงินบาทวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 31.35-31.60 บาท/ดอลลาร์

10. ทองเปิดตลาดวันนี้ (18 ธ.ค. 68) ปรับขึ้น 200 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 65,350 บาท

11. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (18 ธ.ค.68) ทรงตัว ที่ระดับ 31.50 บาทต่อดอลลาร์

12. ประกาศ กปน.: 20 ธ.ค. 68 น้ำไหลอ่อนไม่ไหล ถนนลาดหวาย

13. ตลาดหุ้นปิด (17 ธ.ค.68) ลบ 3.83 จุด ดัชนี 1,256.85 จุด

14. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (17 ธ.ค.68) ลบ 0.74 จุด ดัชนี 1,259.94 จุด

15. MTS Gold คาดราคาทองคำคาดยังคงเคลื่อนไหวในทิศทางขาขึ้น (Sideway Up) ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,290-4,270 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,350-4,380 เหรียญ

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 18, 2025, 10:05 pm