
นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวปาฐกถาพิเศษ 'Driving Thailand Toward Sustainable Wealth : เปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไทยเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืน' ในงานสัมมนา Thailand Next Move 2026 : Wealth Creation ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่งคั่งยั่งยืน ว่า เศรษฐกิจไทยกำลังอยู่ในยุคของอัตราการเติบโตที่ลดต่ำลง จนกลายเป็น New Normal ซึ่งเป็นการเติบโตที่ช้ากว่าประเทศอื่นในภูมิภาค ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากหลายปัญหาในเชิงโครงสร้าง อาทิ ปัญหาด้านขีดความสามารถในการแข่งขัน ปัญหาด้านผลิตภาพการผลิต (Productivity) ปัญหาเรื่องแรงงาน ปัญหาสังคมสูงวัยที่ส่งผลทำให้กำลังซื้อลดลง ปัญหาด้านการศึกษา รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง เป็นต้น
ขณะเดียวกันประเทศไทยขาดการลงทุนมานาน โดยอาศัยการเติบโตจากอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีเก่า อาศัยการเติบโตจากบุญเก่า นี่จึงเป็นอีกปัจจัยสำคัญที่กระทบต่อขีดความสามารถในการแข่งขัน และทำให้เศรษฐกิจไม่สามารถเติบโตได้ตามศักยภาพ อีกทั้งยังมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำสูง ดังนั้นแม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง และนโยบายการเงิน การจะทำให้เศรษฐกิจโตถึงศักยภาพในปัจจุบันที่ 2.7% จึงยังไม่มีประสิทธิภาพเต็มที่
“เราเห็นความเสี่ยงมากมาย ทั้งจากการเมือง จากต่างประเทศ และเรื่องสงครามระหว่างไทย-กัมพูชาที่มากระแทกซ้ำเติม ถ้าเราไม่เปลี่ยนศักยภาพเศรษฐกิจไทยในปีนี้ก็จะโตอยู่แถว ๆ 2.2% ส่วนปีหน้า 1.5% เนื่องจากส่งออกจะขยายตัวได้ต่ำกว่า 1% ท่องเที่ยวแม้จะกระเตื้องขึ้นแต่ก็ไม่ได้มีน้ำหนักมากนักเพราะถูกทอนจากการส่งออกที่คาดว่าจะอ่อนแอลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2569 ขณะที่ปี 2570 จะเติบโตที่ 2.3% ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงมากมาย ถ้าเราไม่เปลี่ยนการเติบโตตามศักยภาพของจีดีพีไทยจะไม่เพิ่ม” ผู้ว่าการ ธปท. ระบุ
ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนใหม่จะเพิ่มขึ้นได้ สินเชื่อในระบบจะต้องเติบโต แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าสินเชื่อไม่ขยายตัว จึงไม่เกิดการลงทุน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีซึ่งมีสัดส่วนการจ้างงานในระบบถึง 70% และคิดเป็นสัดส่วนบริษัทในระบบกว่า 88-89% ยังมีปัญหาเรื่องการเข้าถึงสินเชื่อ สะท้อนจากสินเชื่อเอสเอ็มอีที่ติดลบต่อเนื่อง 13 ไตรมาส คิดเป็น 36 เดือน หรือ 3 ปี ขณะที่ภาพรวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) และหนี้กลุ่มที่เฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) อยู่ในระดับสูงมาก โดย NPL อยู่ที่ 8-9% และรวมทั้ง 2 กลุ่ม สูงถึง 15-16% สะท้อนชัดเจนถึงความเหลื่อมล้ำ โดยยังมีเพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ยังดี ดีมาก และยังไปได้อยู่ นั่นหมายถึงรูปแบบการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ไม่เท่าเทียม (K-Shape) ซึ่งสุดท้ายจะมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
โดยที่ผ่านมาคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% แล้ว 5 ครั้ง รวมเป็น 1.25% ในรอบ 1 ปี เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจโตต่ำลง และการปรับลดครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. นั้น เป็นการลดลงต่ำสุดในรอบ 3 ปี เพราะเศรษฐกิจไทยมีปัญหามากมาย และยืนยันว่า กนง. ยังเหลือกระสุนเพียงพอที่พร้อมจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงต่อ แต่อาจจะเหลือไม่มากนัก และจำเป็นจะต้องมีเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นบ้าง โดยสิ่งหนึ่งที่ต้องทำความเข้าใจว่า การลดอัตราดอกเบี้ยมีผลกับเศรษฐกิจจำกัดมาก หรือช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างไม่ได้มากนัก และการลดดอกเบี้ยยังต้องคิดถึงมิติของผู้ฝากเงินด้วย ดังนั้นหากท้ายที่สุดถ้าอัตราดอกเบี้ยต่ำเกินไปก็จะมีปัญหาเรื่องการออมตามมาได้
นายวิทัย กล่าวอีกว่า ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่เต็มไปด้วยปัญหาเชิงโครงสร้างขณะนี้ ธปท. จำเป็นจะต้องปรับตัวโดยเข้ามามีบทบาทในการช่วยประคับประคองเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ดูเรื่องเสถียรภาพในระบบการเงินเพียงอย่างเดียว โดย ธปท. ต้องมาเป็นผู้นำในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่แค่วิเคราะห์และชี้ให้เห็นถึงปัญหาเท่านั้น และการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างนี้ก็ไม่ใช่การเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้เกิดการบริโภคระยะสั้นหรืออะไรในสิ่งที่ไม่จำเป็น เพราะปลายทางสุดท้าย เมื่อเศรษฐกิจดี ประชาชนจะกินดีอยู่ดี แต่หากไม่ช่วยกันทำอะไรเลย เศรษฐกิจไทยจะพัง คนจนทั้งประเทศ การวิเคราะห์ปัญหาเพียงอย่างเดียวผ่านโซเชียลมีเดียทุกวัน ซึ่งอาจจะเป็นข้อมูลที่รู้จริงบ้าง รู้ไม่จริงบ้าง ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไรเลย ดังนั้นจึงอยากให้ทุกฝ่ายมาช่วยกันแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เช่นเดียวกับ ธปท. ที่จะอยู่แบบเดิมไม่ได้ ภายใต้ค่านิยม ยื่นตรง มองไกล ยื่นมือ ติดดิน
“ธปท. ต้องปรับบทบาทมาเป็นผู้นำในการช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง เพราะเรามีศักยภาพเพียงพอ โดยเราต้องยื่นมือช่วยประคองเศรษฐฏิจ ต้องอยู่กับประชาชนเพื่อเข้าใจปัญหาของแต่ละกลุ่ม ไม่ใช่แค่การทำหน้าที่ในการดูแลเสถียรภาพทางการเงินเพียงอย่างเดียว โดยเฉพาะเรื่องอัตราเงินเฟ้อ ที่ต้องยอมรับว่าปีนี้จะติดลบที่ 0.1% แน่นอน ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับสู่กรอบเป้าหมายที่ 1% ภายในต้นปี 2570 ส่วนปี 2569 ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังอยู่ต่ำที่ราว 0.3-0.5% แต่อยากให้สังคมไม่ต้องกังวลว่า ประเทศไทยยังไร้สัญญาณภาวะเงินฝืดแน่นอน” นายวิทัย กล่าว
อย่างไรก็ดี แนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้อย่างเป็นรูปธรรม นอกเหนือจากเครื่องมือทางการเงินที่ ธปท. มี นั่นคือ การเร่งออกมาตรการแก้ปัญหาเฉพาะจุด โดยในสัปดาห์หน้า ธปท. จะมีการลงนามความร่วมมือ (MOU) ร่วมกับกระทรวงการคลัง และธนาคารพาณิชย์ ในโครงการค้ำประกันสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเชื่อว่าจะมีส่วนช่วยให้เอสเอ็มอีไทยสามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น ส่วนก่อนหน้านั้นมีการออกมาตรการแก้ปัญหาหนี้เสียรายย่อย ในกลุ่มไม่เกิน 1 แสนบาท จำนวน 1.6 ล้านราย และหลังจากนี้จะมีอีก 7-8 มาตรการ ซึ่งเป็นมาตรการเฉพาะจุดที่จะเร่งทยอยออกมาตั้งแต่ปี 2569 เป็นต้นไป
ข่าวเด่น