เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยวิเคราะห์ "เกาะติดหนี้ธุรกิจไทยจากเครดิตบูโร : ภาพหนี้เสียยังเพิ่มขึ้น"


การวิเคราะห์ฐานข้อมูลนิติบุคคล (ที่ไม่ระบุตัวตน) ขนาดใหญ่ของเครดิตบูโร ชี้ว่า ปัญหาคุณภาพหนี้ของสินเชื่อธุรกิจยังถดถอยลงต่อในช่วงครึ่งแรกของปี 2568

แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกจากผู้ให้บริการสินเชื่อ แต่สินเชื่อธุรกิจขนาดเล็กและย่อมก็ยังเปราะบางกว่ากลุ่มธุรกิจรายใหญ่อย่างต่อเนื่อง

คุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก การชะลอตัวของอำนาจซื้อ และการแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ อาทิ ที่พักแรม การผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และค้าส่งค้าปลีก

จุดติดตามสำคัญอยู่ที่ประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลง ทำให้การอาศัยการปรับโครงสร้างหนี้แต่เพียงลำพัง โดยที่ความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ที่แท้จริงไม่ได้เปลี่ยนแปลงนั้น คงดำเนินการได้เพียงอีกระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น

หนี้ด้อยคุณภาพของภาคธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น

หนี้เสียของภาคธุรกิจเพิ่มขึ้นมาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568
 
จากข้อมูลของเครดิตบูโร หนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วันของบัญชีสินเชื่อธุรกิจ (รวมเฉพาะบัญชีนิติบุคคล หรือ Juristic Persons ที่ไม่เปิดเผยตัวตน) ขยับขึ้นจาก 3.72% ของสินเชื่อรวมในไตรมาส 1/2568 มาที่ 3.94% ในไตรมาส 2/2568 โดยยังคงเป็นระดับที่แย่กว่าจุดที่ดีที่สุดในช่วง 1 ปี หลังจากช่วงโควิด-19 ที่ทำไว้ในไตรมาส 2/2566 ซึ่งมีสัดส่วนเอ็นพีแอลที่ 3.76% ต่อสินเชื่อรวม

รูปที่ 1 สัดส่วนหนี้ค้างชำระเกินกว่า 90 วันของบัญชีสินเชื่อธุรกิจยังขยับขึ้นต่อในไตรมาส 2/2568
 


หมายเหตุ: นับรวมบัญชี OD และ % NPL+ หมายถึง หนี้ที่ผิดนัดชำระตั้งแต่ 91 วันขึ้นไป (NPL and Write-offs)
ที่มา: NCB, KResearch

เมื่อจำแนกตามระยะเวลาการค้างชำระ พบว่าสัดส่วนหนี้ค้างชำระ 31-90 วันไหลตกชั้นไปสู่ชั้นที่ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป มากขึ้น (รูปที่ 2) ซึ่งชี้ว่าความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจยังคงไม่เข้าสู่สถานการณ์ปกติ ขณะที่ สัดส่วนหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วันขยับเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า

รูปที่ 2 สินเชื่อธุรกิจจำแนกตามวันค้างชำระ
 


ที่มา: NCB, KResearch

แม้จะมีการปรับโครงสร้างหนี้ในสัดส่วนสูงกว่ากลุ่มอื่น แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็ยังปรากฏสัญญาณเสี่ยงสูงกว่ากลุ่มอื่นอย่างต่อเนื่อง

ในรายงานฉบับนี้ จะจัดแบ่งบัญชีสินเชื่อธุรกิจตามขนาดธุรกิจโดยอ้างอิงนิยามขนาดธุรกิจตามเกณฑ์ของสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ สสว. (ตารางที่ 1) ซึ่งปรับเปลี่ยนจากรายงาน In-depth ฉบับก่อนที่แบ่งขนาดธุรกิจตามวงเงินสินเชื่อ
 

 
ภายใต้เกณฑ์ Responsible Lending ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้เชิงรุกของสถาบันการเงิน ทำให้ยังเห็นภาพการปรับโครงสร้างหนี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง (รูปที่ 3) โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อม ดังจะเห็นได้จากจำนวนบัญชีสินเชื่อธุรกิจที่มีการปรับโครงสร้างหนี้ของธุรกิจ Micro เพิ่มขึ้นมามีสัดส่วนที่ 14.94% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของสินเชื่อธุรกิจ Micro (เทียบกับ 12.68% ในไตรมาสก่อนหน้า) ตามมาด้วยธุรกิจ Small ที่ 8.92% ต่อจำนวนบัญชีโดยรวมของธุรกิจ Small (เทียบกับ 8.39% ในไตรมาสก่อนหน้า)

นอกจากนี้ สัดส่วนหนี้ค้างชำระของกลุ่มธุรกิจขนาดเล็กและย่อมยังคงเพิ่มสูงขึ้น ทั้งหนี้ที่เพิ่งค้างชำระ 1-30 วัน และหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน นอกจากหนี้ สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพของธุรกิจขนาดกลาง ก็ขยับขึ้นเช่นกัน (รูปที่ 4) ไม่ว่าจะเป็นในมุมของสัดส่วนจำนวนบัญชี หรือยอดคงค้างสินเชื่อต่อสินเชื่อรวม

รูปที่ 3 กิจกรรมการปรับโครงสร้างหนี้เร่งขึ้น หลังเริ่มใช้เกณฑ์ Responsible Lending ต้นปี 2567


 
ที่มา: NCB, KResearch

รูปที่ 4 คุณภาพหนี้ของธุรกิจขนาดกลางลงไป ถดถอยลง


ที่มา: NCB, KResearch

จัดแบ่งหนี้ตามพฤติกรรมชำระหนี้ ย้ำภาพปัญหาลามขึ้นสู่ธุรกิจรายใหญ่ขึ้น

เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ทำให้ธุรกิจขนาดที่ใหญ่ขึ้น เริ่มอยู่ยาก

เพื่อให้เห็นภาพเชิงพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ชัดเจนขึ้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทยจึงได้จัดแบ่งกลุ่มหนี้ธุรกิจใหม่ตามลักษณะการชำระหนี้รายบัญชีในรอบ 1 ปีย้อนหลังของแต่ละจุดของเวลา โดยเริ่มจากการวิเคราะห์จากรหัสบัญชีตามฐานข้อมูล Commercial Database ของเครดิตบูโร และจัดเกรดสถานะของบัญชีที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการชำระหนี้

จึงสามารถแบ่งสถานะบัญชีของหนี้ธุรกิจออกมาเป็น 4 กลุ่ม คือ 1. สถานะปกติ (Good) 2. สถานะเริ่มมีปัญหาการค้างชำระของหนี้ (Newly Impaired) 3. สถานะดีสลับแย่ซึ่งมีพฤติกรรมการค้างชำระหนี้ และกลับมาจ่ายได้ และ/หรือกลับมาค้างชำระอีกครั้ง (On-Off) และ 4. สถานะที่มีปัญหารุนแรง (Distressed) ซึ่งมีการค้างชำระหนี้อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลาที่ทำการศึกษา โดยสถานะหนี้กลุ่มที่ 2-4 ตามมุมมองของแบงก์และเครดิตบูโร คือ บัญชีที่มีสถานะไม่ปกติ โดยมักจะจัดอยู่ในกลุ่มเอ็นพีแอล พักหนี้ หรืออยู่ระหว่างกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น

ผลการศึกษาชี้ว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีธุรกิจในกลุ่ม Good ปรับลดลงต่อเนื่อง สอดคล้องกับ % ROE ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งสะท้อนว่า แม้แต่กิจการขนาดใหญ่อย่างเช่นบริษัทจดทะเบียนยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจต่อทิศทางรายได้ธุรกิจได้

ธุรกิจ Micro มีสัดส่วนจำนวนบัญชี Good ลดลงมาที่ 78.5% ขณะที่ บัญชีส่วนที่เหลือส่วนใหญ่กระจายอยู่ในกลุ่ม Distressed และ Newly Impaired (รูปที่ 6) นอกจากนี้ ประเภทธุรกิจที่สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่องมีสัดส่วนลดลง กระจายไปในทุกประเภทธุรกิจหลัก (รูปที่ 7)

รูปที่ 5 สัดส่วนบัญชี Good ลดลง สอดคล้องกับทิศทางความสามารถในการทำกำไร บจ.ที่ลดลง


 
หมายเหตุ: จากข้อมูลสถานะบัญชีของลูกหนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ที่มา: SET, NCB, KResearch

รูปที่ 6 ธุรกิจ Micro น่าห่วงมากขึ้น


 
หมายเหตุ: จากข้อมูลสถานะบัญชีของลูกหนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ที่มา: SET, NCB, KResearch

รูปที่ 7 ธุรกิจที่สามารถชำระหนี้ได้ต่อเนื่อง มีสัดส่วนลดลง


 
หมายเหตุ: จากข้อมูลสถานะบัญชีของลูกหนี้ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา
ที่มา: SET, NCB, KResearch

เมื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูล 3 มิติพร้อมกัน ได้แก่ 1. พฤติกรรมชำระหนี้ (Grading 4 กลุ่ม ได้แก่ Good, Newly Impaired, On-Off และ Distressed) 2. ขนาดธุรกิจ และ 3. ประเภทธุรกิจ ซึ่งมีความแตกต่างและให้มุมมองที่ลึกและละเอียดมากขึ้นกว่าการนำเสนอในรายงาน In-depth ฉบับก่อนหน้า พบจุดที่น่ากังวลว่า ปัญหาการชำระหนี้ลามมาที่ธุรกิจรายใหญ่ชัดเจนขึ้น (รูปที่ 8) โดยเฉพาะธุรกิจในกลุ่มค้าปลีกค้าส่ง รวมถึงธุรกิจกลุ่มที่พักแรม และบริการอื่นๆ ซึ่งเผชิญกับโจทย์ท้าทายหลายด้านพร้อมกัน ทั้งอำนาจซื้อที่จำกัดลงมากของตลาดในประเทศ และการฟื้นตัวที่ไม่ต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว ขณะที่ ธุรกิจขนาดกลางและย่อมในภาคการผลิต ก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ และที่พักแรม ต่างก็เผชิญสถานการณ์ที่กดดันมากขึ้น เพราะไม่ได้จะต้องรับมือกับผลกระทบจากปัญหาการขึ้นภาษีของสหรัฐฯ การแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากจีน รวมถึงปัญหาข้อจำกัดด้านรายได้ของครัวเรือนเท่านั้น แต่ต้องหาทางหมุนสภาพคล่องไปด้วยในเวลาเดียวกัน เนื่องจากมีสายป่านที่สั้นกว่ารายใหญ่

สัญญาณเริ่มเตือนปัญหาคุณภาพหนี้ของหลายธุรกิจ (รูปที่ 9) หากเทียบกับช่วงโควิด-19 พบว่า สถานการณ์สินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติ โดยเฉพาะกลุ่มก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน อยู่ในภาวะที่แย่กว่าแล้ว นั่นคือ มีสัดส่วนสินเชื่อที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติที่ 8.2% สูงกว่าช่วงโควิด-19 ที่ 7.3%

รูปที่ 8 สัดส่วนสินเชื่อในกลุ่ม Distressed ของธุรกิจรายใหญ่ในหลายประเภทธุรกิจ ขยับสูงขึ้น
 

หมายเหตุ: ไม่รวม OD , % Distressed หมายถึง หนี้ที่อยู่ในกลุ่มมีปัญหาการชำระหนี้รุนแรง
ที่มา: NCB, KResearch

รูปที่ 9 การเปรียบเทียบสถานการณ์ความผิดปกติของการชำระหนี้ กับช่วงโควิด-19


 
หมายเหตุ: ไม่รวมบัญชี OD และ * ผลรวมชอง 3 กลุ่มที่มีการชำระหนี้ไม่ปกติ ได้แก่ Newly Impaired, On-Off และ Distressed ต่อยอดคงค้างสินเชื่อรวม
ที่มา: NCB, KResearch

ประเด็นติดตาม คือ ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่เริ่มลดลง

จากการศึกษาของศูนย์วิจัยกสิกรไทย พบว่า การปรับโครงสร้างหนี้จะมีประสิทธิผลดีเมื่อดำเนินการกับหนี้ที่เพิ่งค้างใหม่ ๆ นั่นคือ หากเข้าไปจัดการปรับโครงสร้างหนี้ในกลุ่มลูกหนี้ที่ยังไม่เป็นเอ็นพีแอลอย่างทันท่วงทีแล้ว จะสามารถช่วยฟื้นสถานะให้หนี้รายนั้นกลับมาเป็นหนี้ปกติหรือมีวันค้างชำระไม่เกิน 30 วันได้ถึง 70% ของจำนวนบัญชีที่เข้าไปปรับโครงสร้าง ในช่วง 3 เดือนถัดมา แต่หากปรับโครงสร้างกับหนี้ที่เป็นเอ็นพีแอลแล้ว สัดส่วนหนี้ที่จะกลับมาจัดชั้นปกติจะลดลงเหลือ 8% และจะต้องใช้เวลาแก้หนี้นานขึ้นเป็น 1 ปี

ขณะที่เมื่อพิจารณาข้อมูลในอีกมิติหนึ่งเพื่อประเมินประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ โดยทำการเปรียบเทียบจำนวนบัญชีลูกหนี้ธุรกิจที่สามารถเลื่อนสถานะกลับมา “ดีขึ้น” กับการเลื่อนสถานะ “แย่ลง” ในรอบ 12 เดือนล่าสุด พบว่า สัดส่วนจำนวนบัญชีที่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่สถานะกลับถดถอยลงนั้น มีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น และเร็วกว่ากลุ่มที่ได้รับการเลื่อนสถานะดีขึ้นตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ซึ่งสะท้อนนัยเชิงลบต่อประสิทธิภาพของการปรับโครงสร้างหนี้ที่สามารถเล็งผลเลิศได้ลดลงเมื่อระยะเวลาผ่านไป


รูปที่ 10 แม้การปรับโครงสร้างหนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสการฟื้นตัวกลับสู่สถานะหนี้ที่ดีขึ้น แต่ก็ยังเป็นอัตราที่ไม่สูง

 
หมายเหตุ: รวมบัญชี OD, * คำนวณจากบัญชีที่ยัง active ในรอบ 1 ปีล่าสุดของแต่ละช่วงเวลา
ที่มา: NCB, KResearch

ประสิทธิผลของการปรับโครงสร้างหนี้ที่ลดลงดังกล่าว ถือเป็นประเด็นที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้สถานการณ์ที่แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2569 ยังมีโอกาสเติบโตในระดับต่ำกว่าศักยภาพที่ 1.6% กอปรกับยังต้องรอการจัดตั้งรัฐบาลใหม่เพื่อขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและปัญหาเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจไทย ซึ่งรวมถึงปัญหาขีดความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจ ที่จะเป็นปัจจัยกำหนดเสถียรภาพด้านรายได้ของธุรกิจและความสามารถในการชำระหนี้ในระยะยาว

หากสถานการณ์แวดล้อมข้างต้นยังไม่เปลี่ยนแปลง สุดท้ายแล้ว นโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ในการซื้อเวลาและยับยั้งการเพิ่มขึ้นของปัญหาหนี้เสียในภาคธุรกิจคงให้ประสิทธิผลที่ลดลง ซึ่งเท่ากับว่า วังวนในการแก้ปัญหาหนี้เสียจะยิ่งกลายเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กดดันแนวโน้มการฟื้นตัวของสินเชื่อ และอาจกระทบความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติต่อผู้ให้บริการสินเชื่อมากขึ้นอีกในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีพัฒนาการที่ดีกว่า

โจทย์การแก้ไขปัญหาวังวนของหนี้เสียภาคธุรกิจที่ขยายวงกว้างขึ้นนี้ จึงเป็นหนึ่งโจทย์ท้าทายของสถาบันการเงิน รวมถึงหน่วยงานทางการอื่น ๆ ในปีหน้าอย่างยากจะหลีกเลี่ยง

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 25 ธ.ค. 2568 เวลา : 13:02:53
25-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (25 ธ.ค.68) ลบ 8.74 จุด ดัชนี 1,266.59 จุด

2. MTS Gold คาดราคาทองคำประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,450-4,430 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,500-4,525 เหรียญ

3. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ทำนิวไฮ บวก 288.75 จุด ขานรับ "ซานต้าแรลลี่"

4. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (24 ธ.ค.68) ลบ 2.90 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งทำนิวไฮ

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (25 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบน อุณหภูมิลดลง 1-3 องศา /ภาคใต้ตอนล่างมีฝนเพิ่มขึ้นและตกหนักบางแห่ง

6. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (25 ธ.ค.68) อ่อนค่าลงเล็กน้อย ที่ระดับ 31.10 บาทต่อดอลลาร์

7. ทองเปิดตลาดวันนี้ (25 ธ.ค. 68) ปรับลดลง 100 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,650 บาท

8. ตลาดหุ้นไทยเปิด (25 ธ.ค.68) ลบ 1.70 จุด ดัชนี 1,273.63 จุด

9. ตลาดหุ้นปิด (24 ธ.ค.68) บวก 4.22 จุด ดัชนี 1,275.33 จุด

10. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (24 ธ.ค.68) ลบ 0.77 จุด ดัชนี 1,270.34 จุด

11. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (23 ธ.ค.68) พุ่ง 36.30 เหรียญ ยืนเหนือ 4,500 ดอลลาร์ รับแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

12. MTS Gold คาดราคาทองคำยังมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,550-4,570 เหรียญ

13. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (23 ธ.ค.68) บวก 79.73 จุด, S&P ทำนิวไฮ รับ GDP แกร่งเกินคาด หนุนแรงซื้อหุ้นเติบโต

14. ทองเปิดตลาดวันนี้ (24 ธ.ค. 68) พุ่งขึ้น 300 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 67,050 บาท

15. พยากรณ์อากาศวันนี้ (24 ธ.ค.68) ประเทศไทยตอนบนอุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 4 องศา และมีน้ำค้างแข็งบางแห่ง

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 25, 2025, 3:31 pm