เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
SCB EIC วิเคราะห์ "BNPL (Buy Now Pay Later) or Be NPL : ความเสี่ยงการเงินที่มาพร้อมความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้น"


การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องในปี 2569 จากหลายปัจจัย ทั้งรายได้ครัวเรือนที่ฟื้นตัวช้า ตลาดแรงงานที่เปราะบางมากขึ้น สะท้อนจากการจ้างงานและชั่วโมงทำงานที่ลดลง ขณะที่สินเชื่อด้อยคุณภาพยังทรงตัวสูง ทำให้ครัวเรือนต้องลดการใช้จ่ายเพื่อลดหนี้ (Deleveraging) สอดคล้องกับผลสำรวจ SCB EIC Consumer survey ปี 2568 ที่ชี้ว่า ผู้บริโภคยังเผชิญปัญหารายได้โตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย ขณะที่ความเสี่ยงการชำระหนี้เริ่มลามไปกลุ่มบนมากขึ้น ซึ่งจะกดดันการบริโภคในระยะต่อไป


 
SCB EIC สำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคจากกลุ่มตัวอย่าง 1,631 คน ระหว่างวันที่ 20 ส.ค. - 3 ก.ย. 2568 พบว่าภาวะการเงินครัวเรือนไทยยังเปราะบางและมีความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจากการเข้าถึงสินเชื่อบางประเภทได้ง่ายขึ้น 

ผลสำรวจครั้งนี้มี 4 ประเด็นน่าสนใจ ดังนี้

1. รายได้โตช้ากว่ารายจ่าย 
 
• กว่า 70% ของผู้บริโภคมีรายได้เท่าเดิมหรือลดลง ขณะที่กว่า 90% เผชิญรายจ่ายเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น ราว 1 ใน 3 ประสบปัญหารายได้โตช้ากว่ารายจ่าย โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อย (ต่ำกว่า 30,000 บาทต่อเดือน) ซึ่งกว่า 60% ระบุว่ากำลังเผชิญปัญหานี้ 
 
• กลุ่มรายได้สูงเริ่มแสดงสัญญาณเปราะบางเพิ่มขึ้น สะท้อนจากสัดส่วนผู้ตอบที่มีรายได้ 100,000–200,000 บาทต่อเดือน ระบุว่ารายได้ไม่พอรายจ่ายเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจปีก่อน แสดงให้เห็นว่าความเปราะบางทางการเงินไม่ได้จำกัดแค่กลุ่มรายได้น้อยอีกต่อไป
 

 
 
2. ภาระหนี้หนักและเริ่มลามสู่กลุ่มรายได้สูง 
 
• ปัญหารายได้ไม่พอรายจ่ายเป็นปัจจัยสำคัญต่อความเสี่ยงภาระหนี้สูง โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยกว่า 30,000 บาทต่อเดือน ซึ่งราว 1 ใน 3 มีสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio : DSR) สูงกว่า 60% ซึ่งจำกัดการบริโภคและเพิ่มความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ในระยะข้างหน้า 
 
• เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ตอบรู้สึกว่าการชำระหนี้ในแต่ละเดือนเป็นปัญหา แม้แต่กลุ่มรายได้สูงกว่า 100,000 บาทต่อเดือน ก็มีมากกว่า 20% ที่เริ่มกังวล 
 
• ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้เริ่มกระจายจากกลุ่มรายได้น้อยไปสู่กลุ่มรายได้ปานกลาง-สูง แม้ปัจจุบันส่วนใหญ่ยังชำระหนี้ได้ปกติ แต่เริ่มกังวลปัญหาหนี้มากขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีหนี้หลายประเภทและผู้ที่อยู่ในวัยทำงานอายุต่ำกว่า 40 ปี 

 
3. สินเชื่อดิจิทัล ความสะดวกที่มาพร้อมความเสี่ยง 
 
• สินเชื่อดิจิทัล โดยเฉพาะ Buy Now Pay Later (BNPL) และสินเชื่อผ่านแอปบนมือถือ ช่วยเพิ่มทางเลือกและความสะดวกในการเข้าถึงสินเชื่อของผู้บริโภค โดยมีผู้ใช้กว่า 25% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ่งสูงกว่าสัดส่วนคนที่ใช้บัตรกดเงินสด (16.5%) 
 
• ผู้ใช้ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอายุน้อย รายได้น้อย และมีหนี้หลายประเภท โดยราว 1 ใน 3 มี DSR สูงกว่า 60% และกว่า 60% ยอมรับว่าการเข้าถึงสินเชื่อที่ง่ายขึ้นทำให้ใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 
 
• ผู้ใช้ BNPL และสินเชื่อผ่านแอปมีแนวโน้มผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าสินเชื่ออื่นอย่างมีนัยสำคัญ โดยผู้ใช้บริการสินเชื่อกลุ่มนี้มีแนวโน้มเป็นหนี้หลายประเภทและมีสัดส่วน DSR สูง โดยเฉพาะผู้ใช้ BNPL ราว 1 ใน 3 ที่มี DSR มากกว่า 60% สะท้อนความจำเป็นในการกำกับดูแลและออกแบบผลิตภัณฑ์สินเชื่ออย่างรับผิดชอบ

 
4. ความเชื่อมั่นผู้บริโภคต่ำ
 
• ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ระมัดระวังการใช้จ่าย เน้นชำระหนี้เป็นอันดับแรก 
 
• ผู้บริโภคที่คาดว่าค่าใช้จ่ายในอนาคตจะลดลง ต้องการเพิ่มการออมและการลงทุนเพื่อรับมือความไม่แน่นอน ขณะที่ 95% ของผู้ตอบแบบสอบถามที่คาดว่าค่าใช้จ่ายของตนเองและครอบครัวในอนาคตจะเพิ่มขึ้น สะท้อนปัญหารายได้ที่เติบโตช้ากว่ารายจ่ายยังน่ากังวล
 
• สำหรับมุมมองการใช้จ่ายก้อนใหญ่ ผู้บริโภคกว่า 60% ไม่มีแผนซื้อบ้านหรือรถในปี 2569 จากความกังวลด้านรายได้ ดอกเบี้ย และภาระหนี้ แม้ในกลุ่มที่มีแผนซื้อกว่า 80% ยังประเมินว่าตนอาจเผชิญอุปสรรคด้านความสามารถในการซื้อ (Affordability) เพราะเป็นสินทรัพย์ราคาสูงเมื่อเทียบกับรายได้

 
ทางออกต้องดำเนินการควบคู่กัน : “ปรับปรุง” แก้ไขหนี้เดิม vs. “ป้องกัน” การเกิดหนี้ใหม่ที่เกินจำเป็น

1. ปรับปรุงแก้ไขหนี้เดิม  

• ภาครัฐ มีบทบาทช่วยกลุ่มรายได้น้อยแบบ Targeted เพื่อลดรายจ่าย เสริมสภาพคล่อง และเร่งปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ที่ยังมีศักยภาพ พร้อมสร้างแรงจูงใจให้ชำระหนี้ต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถปิดหนี้ไว พร้อมจัดตั้งคลินิกหนี้แบบ One-stop รวมที่ปรึกษา-รวมหนี้-รวมแนวทางการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อให้เป็นกลไกสำคัญอำนวยความสะดวกการแก้หนี้
• สถาบันการเงิน ควรได้แรงจูงใจให้ “ป้องกันหนี้เป็น NPL” และดึงหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบ
• ภาคธุรกิจ สนับสนุนสวัสดิการ Employee Financial Wellbeing เพื่อช่วยเหลือพนักงานให้มีวินัยทางการเงินและสุขภาพการเงินที่ดีขึ้น
• ลูกหนี้ วางแผนชำระหนี้ ตั้งเพดาน DSR และปรับพฤติกรรมใช้จ่ายให้เป็นระบบ หลีกเลี่ยงการใช้สินเชื่อหลายประเภทที่เข้าถึงง่ายเกินความจำเป็น

 
2. ป้องกันการเกิดหนี้ใหม่เกินจำเป็น 

• ภาครัฐ เสริมสร้างกลไกการกำกับดูแลเพื่อป้องกันการปล่อยสินเชื่อเกินความจำเป็น โดยการผลักดันให้ผู้ให้สินเชื่อทั้งหมดเข้าร่วมเป็นสมาชิกของบริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) เพื่อให้ผู้ให้บริการ/สถาบันทางการเงินมีข้อมูลที่ครอบคลุมเกี่ยวกับภาระหนี้โดยรวมของผู้กู้มากขึ้น ตลอดจนปรับมาตรการควบคุมความเสี่ยงระดับมหภาค (Macroprudential) เพื่อกำหนดเพดานหนี้โดยรวมแต่ละราย โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการบริโภคที่ไม่มีหลักประกัน (Unsecured Consumer Loans) และบังคับใช้กับผู้ให้บริการทางการเงินทุกประเภทอย่างเท่าเทียม เพื่อป้องกันการสะสมหนี้ครัวเรือนที่มากเกินกว่าความสามารถผู้กู้ 

ควบคู่กับเพิ่มภูมิคุ้มกันทางการเงินส่วนบุคคลและครัวเรือน พัฒนาทักษะ (Upskill/Reskill) เพื่อเพิ่มรายได้ และจัดหาสวัสดิการพื้นฐาน เพื่อลดแรงจูงใจในการก่อหนี้ และป้องกันไม่ให้กลับมาอยู่ในวงจรหนี้อีก  นอกจากนี้ จำเป็นต้องมีการควบคุมการโฆษณาสินเชื่อดอกเบี้ยสูงอย่างเหมาะสม พร้อมบังคับเปิดเผยต้นทุนที่แท้จริงเพื่อความโปร่งใส ผลักดันสินเชื่อที่คิดอัตราดอกเบี้ยตามความเสี่ยงลูกหนี้แต่ละราย (Risk-based pricing) ให้ปฏิบัติได้จริง และผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับดูแลให้สอดคล้อง เพื่อให้กลุ่มเปราะบางเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้มากขึ้น

• ผู้ให้บริการและสถาบันการเงิน ยึดหลักการปล่อยกู้แบบรับผิดชอบ จำกัดภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) และบริหารหนี้เสียอย่างมีระบบ
 
• ผู้ค้าปลีก ใช้ช่องทางชำระ BNPL อย่างมีระบบร่วมกับผู้ให้บริการ BNPL ที่มีระบบบริหารจัดการหนี้เสีย เพื่อป้องกันผลกระทบต่อสภาพคล่องธุรกิจในระยะยาว
 
• ลูกหนี้ เพิ่มรายได้ และสร้างนิสัยออม เพื่อเป็นกันชนรองรับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
 
 
อ่านต่อรายงานฉบับเต็มได้ที่... https://www.scbeic.com/th/detail/product/Macro-survey-debt-251225
 

 
ผู้เขียนบทวิเคราะห์ :  ภัคพล ตันติวิชช์ (pakkapon.tontiwich@scb.co.th)  นักเศรษฐศาสตร์

 
นนท์ พฤกษ์ศิริ (nond.prueksiri@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส

 
ดร.ปุณยวัจน์ ศรีสิงห์ (poonyawat.sreesing@scb.co.th) นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ (SCB EIC)
SCB EIC Online : www.scbeic.com
Line : @scbeic
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 30 ธ.ค. 2568 เวลา : 13:14:18
31-12-2025
เบรกกิ้งนิวส์
1. ตลาดหุ้นไทยส่งท้ายปี (30 ธ.ค.68) บวก 5.64 จุด ดัชนี 1,259.67 จุด

2. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (30 ธ.ค.68) บวก 3.37 จุด ดัชนี 1,257.40 จุด

3. MTS Gold คาดราคาทองคำเข้าสู่ช่วงปรับฐานประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,340-4,300 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,410-4,450 เหรียญ

4. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (30 ธ.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 31.65 บาทต่อดอลลาร์

5. พยากรณ์อากาศวันนี้ (30 ธ.ค.68) "ยอดดอย" หนาวถึงหนาวจัด 3 องศา มีน้ำค้างแข็งบางแห่ง "ยอดภู" 8 องศา / ฝุ่นละอองค่อนข้างมาก ระบายอากาศไม่ดี

6. ทองนิวยอร์กปิดเมื่อคืน (29 ธ.ค.68) ร่วง 209.10 ดอลลาร์ นักลงทุนขายทำกำไรหลังราคาพุ่งแรง

7. ดัชนีดาวโจนส์ปิดเมื่อคืน (29 ธ.ค.68) ลบ 249.04 จุด หุ้นเทคโนโลยีร่วงทุบตลาด

8. ทองเปิดตลาดวันนี้ (30 ธ.ค.68) ร่วงแรง 1,300 บาท ทองรูปพรรณ ขายออก 66,000 บาท

9. ตลาดหุ้นไทยเปิด (30 ธ.ค.68) ลบ 1.01 จุด ดัชนี 1,253.02 จุด

10. ตลาดหุ้นไทยปิดวันนี้ (29 ธ.ค.68) ลบ 5.22 จุด ดัชนี 1,254.03 จุด

11. ตลาดหุ้นปิดภาคเช้า (29 ธ.ค.68) ลบ 2.58 จุด ดัชนีอยู่ที่ 1,256.67 จุด

12. MTS Gold คาดราคาทองคำยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน ประเมินกรอบระยะสั้น แนวรับที่ 4,480-4,450 เหรียญ และแนวต้านที่ 4,550-4,570เหรียญ

13. ค่าเงินบาทเปิดวันนี้ (29 ธ.ค.68) อ่อนค่าลง ที่ระดับ 31.12 บาทต่อดอลลาร์

14. ตลาดหุ้นไทยเปิด (29 ธ.ค. 68) บวก 0.45 จุด ดัชนี 1,259.70 จุด

15. ทองเปิดตลาดวันนี้ (29 ธ.ค. 68) "คงที่" ทองรูปพรรณ ขายออก 67,300 บาท

อ่านข่าว เบรกกิ้งนิวส์ ทั้งหมด
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ December 31, 2025, 6:12 am